1,200 สัญญาณแห่งวันสิ้นโลก เหลือเพียง 5 สัญญาณเท่านั้น

      ตามการรายงานของ “คิดมัต" โดยอ้างแหล่งข่าวจากเว็ปไซด์ข่าว “ดอนิชยู” : อิสมาอีล ชะฟีอี ซุรุสตานี ในการประชุมสัมมนาหัวข้อเกี่ยวกับอาคิรุซซะมาน (ยุคสุดท้ายของโลก) ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยนานาชาติอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) เขากล่าวว่า “ถึงแม้ว่าหูของประชาชนจำนวนมากของโลกพร้อมแล้วที่จะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เราก็ยังไม่ได้มีการพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตัวอย่างในมหาวิทยาลัย อย่างเช่นมหาวิทยาลัยนานาชาติ ซึ่งถูกตั้งชื่อด้วยชื่อของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) และตั้งอยู่ในเมืองอย่างเช่นก็อซวีนซึ่ง เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เก่าแก่ และตั้งอยู่ตรงจุดใจกลางของประเทศอิหร่าน แต่กลับไม่มีบทเรียนแม้แค่เพียงสองหน่วยกิจที่จะให้เลือกเรียนในเนื้อหาเกี่ยวกับอาคิรุซซะมาน (ยุคสุดท้ายของโลก)

     ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาทางด้านวัฒนธรรม ได้กล่าวเสริมเกี่ยวกับผู้ถูกสัญญาแห่งยุคสมัย (เมาอูดุลอัซร์) ว่า “นี่คือเรื่องที่น่าคบคิดที่ว่า ทำไมจึงเป็นประเด็นที่โลกในยุคปัจจุบันได้ให้ความสำคัญอย่างมาก และจัดให้อยู่ในระดับหัวแถวของบรรดาเนื้อหาทั้งหลาย แต่ในความคิดของบรรดาบุคคลที่เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวที่สุดของสังคมกลับไม่มีสิ่งนี้อยู่เลย และเนื้อหาดังกล่าวนี้เป็นเนื้อหาที่ยิ่งใหญ่มาก แล้วไฉนเล่าที่ดวงตาทั้งหลายจึงได้มองข้ามเรื่องที่สำคัญนี้ไปโดยมิได้ให้ความสนใจใดๆ เลย”

      การเรียนการสอนในสาขาวิชาการศึกษาเกี่ยวกับ “ยุคสุดท้ายของโลก” ในมหาวิทยาลัยจำนวน  257 แห่งในสหรัฐอเมริกา

      เขากล่าวเสริมว่า “เป็นเวลา 130 ปีมาแล้วที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโบสถ์คาทอลิก ที่มีผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาการศึกษาเกี่ยวกับยุคสุดท้ายของโลกนี้ และในสหรัฐอเมริกาเอง ในวิทยาลัยมากกว่า 257 แห่ง มีการศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้ และถ้าหากไม่ใช่เป็นเรื่องที่สำคัญแล้ว ทำไมในแผ่นดินที่บางครั้งเราคิดว่าไม่มีศาสนา แต่ในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยจำนวนมากมายของเขา กลับมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจัง”

     ชะฟีอี  ซุรูสตานี กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศอิหร่าน มีการเรียนการสอนในสาขาวิชาเกี่ยวศิลปะการแสดง และการสร้างภาพยนตร์”

     ในประเทศของเรายังไม่มีภาพยนตร์ใดเลยที่ถูกสร้างในเนื้อหาเกี่ยวกับยุคสุดท้ายของโลก(อาคิรุซซะมาน)

     นักค้นคว้าวิจัยท่านนี้ได้กล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ว่า “ในขณะที่ในอีกฝั่งหนึ่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในปี 1990 มากกว่าร้อยละ 60 ที่ภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดในทศวรรษ ก็คือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับยุคสุดท้ายของโลก และการสร้างภาพยนตร์ด้วยเนื้อหาลักษณะนี้ เป็นแค่เพียงการสร้างความบันเทิงให้แก่ประชาชนกระนั้นหรือ”

      เขากล่าวเสริมอีกว่า “แต่ในประเทศของเรากลับไม่มีภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาลักษณะนี้เลย และได้ละเลยประเด็นดังกล่าวนี้ ในขณะที่จิตใจของคนส่วนใหญ่อยากรู้ในเรื่องนี้”

      ชะฟีอี  ซุรูสตานี ได้ชี้ถึงมุมมองโดยทั่วไปของประชาชนเกี่ยวกับอาคิรุซซะมาน (ยุคสุดท้ายของโลก) โดยกล่าวว่า “ประชาชนของเราในช่วงเวลาที่เกิดข้าวยากหมากแพง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากและมีโรคภัยต่างๆ ปรากฏขึ้นในการดำเนินชีวิตของพวกเขา หรือในช่วงเวลาที่ประสบกับภัยแล้ง พวกเขาก็จะกล่าวว่า นี่คือยุคอาคิรุซซะมาน กล่าวคือ พวกเขารู้จักยุคอาคิรุซซะมานแค่เพียงว่ามันคือยุคแห่งความทุกข์ยาก ยุคของโรคภัยและวิกฤตการณ์ต่างๆ ในลักษณะนี้เท่านั้น ในยุคอาคิรุซซะมานนั้น ปรากฏการณ์และเหตุการณ์ต่างๆ จะเพิ่มทวีขึ้น และระยะเวลาการเกิดของมันก็จะใกล้เคียงกัน”

     เขากล่าวเพิ่มเติมว่า“แต่คำว่า “อาคิรุซซะมาน” หมายถึงวิกฤตการณ์กระนั้นหรือ อาคิรุซซะมาน ไม่ได้หมายถึงภาวะวิกฤต สงครามและโรคระบาด อาคิรุซซะมานคือช่วงเวลาสุดท้ายที่จะเชื่อมต่อกับวันกิยามะฮ์ และในทัศนะของเรา “ยุคอาคิรุซซะมาน” มันได้เริ่มต้นจากช่วงเวลาที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้รับการแต่งตั้ง และจะดำเนินสืบเนื่องมาจนถึงการปรากฏกาย (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ผู้ถูกรอคอย และหลังจากนั้นจะเป็นวันกิยามะฮ์”

     ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาทางวัฒนธรรมเมาอูดุลอัศริ์ (อ.) กล่าวว่า : ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “ฉันถูกแต่งตั้งมาในสภาพที่ระยะห่างระหว่างฉันและวันกิยามะฮ์นั้นไม่มีอยู่เลย ประดุจดั่งระยะห่างระหว่างสองนิ้วมือ แต่เนื่องจากในช่วงระยะเวลาหนึ่งจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นใกล้เคียงกัน จะทำให้ประชาชนเกิดความเคยชิน และจะเข้าใจว่า “อาคิรุซซะมาน” (ยุคสุดท้ายของโลก) ก็คือวิกฤตการณ์ต่างๆ”

     เขากล่าวเสริมว่า : ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “สัญญาณต่างๆ ของยุคอาคิรุซซะมานนั้นมีมากมาย ประดุจดั่งลูกประคำของตัสเบี๊ยะห์ที่จะหลุดออกไปทีละเม็ดๆ และจะสิ้นสุดลงด้วยเม็ดสุดท้าย หมายถึง การปรากฏกาย (ซุฮูร) ของมะฮ์ดี (อ.) ไม่ว่ายุคแห่งการปรากฏกาย (ซุฮูร) จะใกล้เข้ามามากเท่าใด ปรากฏการณ์ต่างๆ ก็จะเพิ่มทวีขึ้นมากเท่านั้น”

มีริวายะฮ์ (คำรายงาน) จำนวน 7,000 บทเกี่ยวกับยุค “อาคิรุซซะมาน”

    ชะฟีอี  ซุรูสตานี ได้อธิบายว่า “ในบรรดาประชาชาติทั้งหมด หมายถึงบรรดาผู้ที่นับถือศาสนาแห่งฟากฟ้า (ศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า) ทั้งหมด ต่างมีความเชื่อร่วมกัน คือเริ่มจากการนับถือพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว (เตาฮีด) และหลังจากนั้นก็คือความเชื่อในเรื่องของผู้ถูกรอคอย แล้วในที่สุดก็คือเรื่องของกิยามะฮ์ (วันสิ้นโลก) และในทุกศาสนาจะมีคำรายงานเกี่ยวกับเรื่องผู้ถูกรอคอย ผู้ถูกสัญญานี้ เป็นจำนวนมากมาย”

    เขากล่าวว่า “จำนวนของคำรายงาน (ริวายะฮ์) ที่ถูกรายงานมาจากมะฮ์ซูม (อ.) ทั้ง 14 ท่าน เกี่ยวกับอาคิรุซซะมาน (ยุคสุดท้ายของโลก) และสัญญาณต่างๆ เกี่ยวกับการปรากฏกาย (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) มีอยู่อย่างมากทีเดียว โดยมีจำนวนถึง 7,000 ริวายะฮ์ ที่ถูกรายงานไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในขณะที่เรื่องของการนมาซและการถือศีลอด กลับมีจำนวนไม่มากเท่านี้”

     ผู้อำนวยการสถาบันทางวัฒนธรรมเมาอูดุลอัศริ์ (อ.) ชี้ให้เห็นอีกว่า “ริวายะฮ์ (คำรายงาน) จํานวนขนาดนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และส่วนใหญ่ของคำรายงานเกี่ยวกับยุคอาคิรุซซะมานนี้ถูกรายงานโดยท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และถูกอธิบายไว้ในช่วงวันแรกๆ ของการแต่งตั้งท่านศาสดา (ซ็อลฯ)”

     เขาชี้ให้เห็นถึงบทบาทต่างๆ ของเครื่องหมายและสัญญาณของการปรากฏกายของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) โดยกล่าวว่า“เครื่องหมายและสัญญาณต่างๆ เหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดชัดถึงสถานะของมนุษยชาติในประวัติสาสตร์ และประชาชนจะได้รู้ว่าพวกเขาอยู่ในช่วงเวลาที่ห่างจากการเกิดขึ้นของวันกิยามะฮ์ (วันสิ้นโลก) มากน้อยเพียงใด ในทำนองเดียวกันนี้ มันจะเป็นเครื่องเตือนสติ การเตรียมพร้อมตน และการยับยั้งมนุษย์จากความสิ้นหวัง ความท้อแท้ การทำความรู้จักมิตรและศัตรู ทั้งหมดเหล่านี้นับว่าเป็นส่วนหนึ่งจากบทบาทในสัญญาณต่างๆ ของการปรากฏกายของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ทั้งสิ้น”

      ชะฟีอี  ซุรูซตานี กล่าวว่า “เรามักจะประสพกับปัญหาในการวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ และกำหนดจุดยืนด้วยการวิเคราะห์อย่างผิดพลาด   บางครั้งเราอาจเผชิญหน้ากับมิตรโดยหลงคิดว่าเป็นศัตรู  และบางครั้งก็อาจผูกสัมพันธ์ฉันมิตรกับศัตรูโดยหลงคิดว่าเป็นมิตร  ซึ่งสัญญาณเหล่านี้จะเป็นสื่อสำคัญที่จะทำให้เราสามารถแยกมิตรออกจากศัตรูได้

จากเครื่องหมายของยุคอาคิรุซซะมานจำนวน 1,200 เครื่องหมายเหลือ เพียง  5 เครื่องหมายที่ที่ยังไม่เกิดขึ้น

      นักวิจัยเกี่ยวกับเรื่องราวของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ท่านนี้  ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในยุคอาคิรุซซะมาน และกล่าวว่า : ในยุคอาคิรุซซะมาน จะมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น และท่านศาสดาเองได้กล่าวไว้ว่า “จะต้องมีวิกฤตการณ์ปรากฏขึ้น เมื่อจุดหนึ่งเกิดความสงบ ในอีกจุดหนึ่งก็จะมีความไม่สงบเริ่มต้นขึ้น และมันจะยังคงดำเนินไปเช่นนี้ จนกระทั่งจะมีสุรเสียงจากฟากฟ้า ป่าวประกาศก้องขึ้นว่า ผู้นำของพวกเจ้าคือมะฮ์ดี (อ.)”

      เขากล่าวต่อว่า “หนึ่งจากคุณลักษณะเฉพาะของฟิตนะฮ์ (วิกฤตการณ์) คือวิกฤตการณ์ของความมืดบอด คือไม่ปล่อยให้มีการแยกแยะ ถึงขั้นที่ว่า ทุกคนจะเกิดความคลางแคลงใจในการจำแนกแยกแยะสัจธรรม (ฮักก์) และความหลงผิด (บาฏิล) และแม้แต่บรรดา “ค่อวาซ” (อาจหมายถึงชาวชีอะฮ์ หรือหมายถึงบรรดาผู้มีความรู้) ก็ยังไม่สามารถที่จะแยกแยะความถูกต้องและความผิดพลาดได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้ถูกเน้นย้ำว่า จงระมัดระวังตนเอง อย่าปล่อยให้ตนเองต้องพบกับความหายนะ”

      ชะฟีอี ซุรูซตานี กล่าวว่า : ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “ฉันขอเตือนพวกท่านจากฟิตนะฮ์ (วิกฤตการณ์) เจ็ดประการที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากฉัน คือ ฟิตนะฮ์จากมะดีนะฮ์ ฟิตนะฮ์จากนครมักกะฮ์ ฟิตนะฮจากเยเมน ฟิตนะฮ์จากชาม (ซีเรีย) ฟิตนะฮ์จากตะวันออก ฟิตนะฮ์จากตะวันตก และฟิตนะฮ์สุดท้าย คือ ฟิตนะฮ์จากซุฟยานี”

      เขาได้ชี้ชัดว่า : จากจำนวนมากกว่าหนึ่งพันสองร้อยสัญญาณของยุคอาคิรุซซะมาน ที่มีปรากฏอยู่ในบรรดาคำรายงาน (ริวายะฮ์) ตามคำพูดของบรรดานักค้นคว้าวิจัยทั้งหมดกล่าวว่า “สัญญาณทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นแล้ว และยังคงเหลืออยู่อีกเพียงห้าสัญญาณเท่านั้น ซึ่งสัญญาณแรกของมันก็คือ ฟิตนะฮ์ของซุฟยานี"

การปรากฏตัวของซุฟยานีจากประเทศซีเรียเพื่อการเข่นฆ่าชาวชีอะฮ์

      ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาทางด้านวัฒนธรรมเมาอูดุลอัศริ์ (อ.) ได้กล่าวต่อว่า “มีปรากฏในคำรายงานว่า ซุฟยานีจะทำการรัฐประหารในประเทศซีเรีย โดยได้รับการสนับสนุนจากยิวไซออนิสต์และชาวตะวันตก และต่อจากนั้นจะมีประชาชนกลุ่มหนึ่งในประเทศซีเรีย ซึ่งมีชื่อว่า “บนีกัลบ์” จะให้การสนับสนุนเขา และปัจจุบันนี้ “บนีกัลบ์” ก็คือชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งส่วนหนึ่งของพวกเขาอยู่ในกองทัพของอิสราเอล อีกส่วนหนึ่งอยู่ในประเทศซีเรีย และอีกส่วนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเลบานอน”

      เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “ซุฟยานีจะเปิดฉากสงครามในประเทศตุรกีและอิรัก และจะเริ่มต้นด้วยการเข่นฆ่าชาวชีอะฮ์ และเมื่อเขาไปถึงเมืองกูฟะฮ์ ในเมืองกูฟะฮ์จะมีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้น และเขาจะเข่นฆ่าชาวชีอะฮ์ถึงขนาดที่ว่า เพื่อนบ้านจะไม่มีความเมตตาต่อเพื่อนบ้านของตน และเพื่อที่จะรับเงินค่าหัว พวกเขาจะชี้ตัวเพื่อนบ้านของตนว่าเป็นชีอะฮ์” ชะฟีอี  ซุรูซตานี กล่าวว่า “วันนี้โลกมหาอำนาจได้ออกมาสู่สนามเพื่อต่อต้านชาวชีอะฮ์ แต่ชาวชีอะฮ์กลับไม่รู้สึกตัว”

      เขากล่าวเสริมว่า “ในช่วงที่เวลาการสู้รบของชาวซีเรียได้ขยายตัวไปถึงยังเมืองกูฟะฮ์นั้น กองทัพของซัยยิดคุราซานี จะเคลื่อนพลออกจากบริเวรใกล้ๆ กับเมืองก็อซวีน และจะกรีฑาทัพผ่านอาณาเขตใจกลางของอิหร่าน และจะมุ่งสู่เมืองกูฟะฮ์ และในคำรายงานทั้งหลายได้กล่าวว่า ถ้าหากพวกท่านพบเห็นกองทัพของซัยยิดคุราซานีที่ใดก็ตาม จงเข้าร่วมเดินทางไปพร้อมกับเขา จากเยเมนก็เช่นกัน ซัยยิดยะมานีจะเคลื่อนทัพมายังกูฟะฮ์”

      การเข้าร่วมทัพของประชาชนชาวอิหร่านจำนวนเรือนล้านในวันแรกของการปรากฏกายของท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)

     ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาทางด้านวัฒนธรรมเมาอูดุลอัศริ์ (อ.) กล่าวว่า “ผู้บัญชาการหลักจากกองทัพของซัยยิดคุราซานี คือ “ชุอัยบ์  บินซอและฆ์” และในปัจจุบันในเมือง “ฏอละกอน” มีหลุมฝังศพหนึ่งซึ่งมีชื่อนี้ปรากฏอยู่ ซึ่งประชาชนจะไปซิยาเราะฮ์ (เยี่ยมเยือน) หลุมฝังศพนั้น และบรรดาผู้ช่วย บรรดาที่ปรึกษา และบรรดาผู้บัญชาการหลักๆ ของท่านอิมาม (อ.) ทั้งหมดจะเป็นชาวอิหร่าน และในวันแรกชาวอิหร่านจำนวนล้านคนจะเข้าร่วมกับท่านอิมาม (อ.)”

     เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “ได้อธิบายไปแล้วว่า การปรากฏกาย (ซุฮูร) ของท่านอิมาม (อ.) นั้น จะเกิดขึ้นในช่วงปีทั้งหลายที่เต็มไปด้วยสงครามในศตวรรษที่ยี่สิบ ประชาชนจำนวน 100 ล้านคนได้ถูกฆ่าตายในสงครามต่างๆ และค่าใช้จ่ายทางการทหารของโลกในวันนี้ มีจำนวนถึง 9 แสนล้านดอลลาร์ จนถึงหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ และค่าใช้จ่ายของสงครามโลกครั้งที่สอง ในระยะเวลาต่อหนึ่งนาทีนั้น เป็นเงินสองล้านดอลลาร์ โดยที่ถ้าหากสงครามหยุดลงเป็นเวลา 18 วัน สามารถแก้ปัญหาการขาดอาหารที่เกิดขึ้นในโลกได้ทั้งหมด”

     ชะฟีอี ซุรูซตานี กล่าวว่า “ค่าใช้จ่ายของกองทัพอเมริกา ต่อวันเป็นเงินถึง 250 ล้านดอลลาร์ และเนื่องจากการใช้อาวุธยูเรเนียมอย่างผิดปกติในอิรัก ชาวอิรักมีความทุกข์ทรมานจากโรคร้ายแรง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาถึง 4,468 ปี จึงจะทำให้ผลกระทบของยูเรเนียมจากอิรักหมดไป”

      ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาทางด้านวัฒนธรรมเมาอูดุลอัศริ์ (อ.) กล่าวว่า “บรรดาศัตรูนั้นพวกเขาเตรียมพร้อมตัวเองแล้วสำหรับการเผชิญหน้าและการต่อสู้ แต่พวกเราเองกลับเผอเรอ ในสมัยการเป็นประธานาธิบดีของบุช เขาจัดตั้งกรรมการคณะหนึ่งสำหรับการค้นคว้าตรวจสอบเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี (อ.) ขึ้นมา ภายใต้การควบคุมดูแลของประธานาธิบดีโดยตรง” 

      เขาได้ย้ำว่า "ยี่สิบวันก่อนหน้านี้ มอสสาดและซีไอเอได้ประกาศว่า พวกเขากำลังติดตามค้นหาอิมามมะฮ์ดี และยังได้ประกาศอีกเช่นกันว่า บางที่ “ซัยยิดคุราซานี” อาจจะเป็น “ท่านอายะตุลลอฮ์คอเมเนอี” เพราะในช่วงวัยเด็กอยู่ในคุราซาน และ “ซัยยิดยะมานี” ก็เช่นกัน บางที่อาจจะเป็น “ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์” เพราะในช่วงวัยเด็กเคยอยู่ในประเทศเยเมน”

       ชะฟีอี ซุรูสตานี กล่าวเสริมว่า “การศึกษาศึกษาค้นคว้าของพวกเขาเกี่ยวกับอาคิรุซซะมาน (ยุคสุดท้ายของโลก) พวกเขาได้ทุ่มเทความพยายามกันเป็นร้อยๆ เท่าของพวกเรา แต่มหาวิทยาลัยของพวกเราเองกลับไม่ใส่ใจต่อสิ่งนี้ และพวกเขามีความกังวลใจต่อเหตุการณ์การปรากฏกาย (ซุฮูร) แต่เราเองกลับเผลอไผล”

ความหิวโหยของคนจำนวน 1,000 ล้านคน และผู้เป็นโรคเอดส์จำนวน 45 ล้านคน คือสัญญาณหนึ่งของยุค “อาคิรุซซะมาน” 

       เขาได้ชี้ให้เห็นเกี่ยวกับสัญญาณและเหตุการณ์ต่างๆ ของยุคอาคิรุซซะมาน โดยกล่าวว่า “ภัยแล้ง แผ่นดินไหว ความอดอยากและความหิวโหว คือสัญญาณส่วนหนึ่งของยุคอาคิรุซซะมาน โดยที่ในปี 2009 ประชาชนจำนวนหนึ่งพันล้านคนในโลกที่อยู่ในสภาพของความหิวโหย และในแต่ละปีก็มีแผ่นดินไหวขนาดปานกลางเกิดขึ้นจำนวนหลายพันครั้ง แผ่นดินไหวขนาดใหญ่และรุนแรงมากเกิดขึ้น 18 ครั้ง” 

       ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาทางด้านวัฒนธรรมเมาอูดุลอัศริ์ (อ.) ได้กล่าวต่อว่า “การไร้ซึ่งตักวา (ความยำเกรง) ต่อพระผู้เป็นเจ้า และการแพร่ระบาดของความเลวร้ายทางด้านเพศและโรคภัยต่างๆ ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่ง โดยที่สภาวะในปัจจุบันนี้ มีประชากร 45 ล้านคนทั่วโลก ได้ติดเชื้อเอชไอวี และในแต่ละปีมีจำนวนเพิ่มขึ้น 5 ล้านคน จากการเพิ่มขึ้นในจำนวนนี้ เป็นเด็กจำนวน 5,200,000 คน และครึ่งหนึ่งของประชากรจำนวนนี้เป็นผู้หญิง และในประเทศของเรามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวน 60,000 คน จนถึงปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตไปแล้วจำนวน 2,121 คน”

       เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “การแพร่ขยายของโรคเอชไอวี โดยการมีเพศสัมพันธ์และการรักร่วมเพศ และการแพร่ระบาดของความเสื่อมทรามทางด้านจริยธรรมนี้ คือส่วนหนึ่งจากปัญหาต่างๆ ที่ จะเกิดขึ้นอย่างในยุคอาคิรุซซะมาน”  

การปกครองของท่านซัลมาน ฟาริซี ในอิหร่าน ในยุคการปรากฏกายของท่านอิมาม(อ.)

      ชะฟีอี ซุรูสตานี ได้ชี้ถึงภารกิจหน้าที่ของบรรดาผู้ศรัทธาในยุคแห่งการไม่ปรากฏกาย (ฆ็อยบะฮ์) ของท่านอิมาม (อ.) โดยกล่าวว่า : หนึ่งในภารกิจหน้าที่ของปวงผู้ศรัทธาในยุคฆ็อยบะฮ์ (การเร้นกาย) นี้ คือการแสวงหาความรู้และทำความรู้จักเกี่ยวกับท่านอิมาม (อ.) ดังที่มีคำรายงาน (ริวายะฮ์) ได้กล่าวว่า “ผู้ใดตายลงในสภาพที่ไม่รู้จักอิมามแห่งยุคสมัยของตนเอง เขาตายในสภาพของญาฮิลียะฮ์”

       เขากล่าวเสริมต่อไปว่า “การยึดมั่นต่อศาสนา การมีความอดทนอดกลั้น และการรอคอยการปรากฏกายของท่านอิมาม (อินติซอรุลฟะญัร) และการวิงวอนขอดุอาอ์ ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งจากภาระหน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติในยุคแห่งการฆ็อยบะฮ์ (การเร้นกาย)  จนกว่าท่านอิมามซะมาน (อ.) จะปรากฏกาย และพระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบหมายภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ให้แก่ท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) มหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ ซึ่งจะปรากฏกายขึ้นเพื่อสถาปนาความยุติธรรม”

       นักค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี (อ.) ท่านนี้กล่าวว่า “เพื่อที่จะปลดเปลื้องตนเองให้หลุดพ้นจากฟิตนะฮ์ (วิกฤดการณ์) ต่างๆ จำเป็นที่เราจะต้องเพิ่มพูนความรู้ (มะอ์ริฟะฮ์) ให้กับตัวเอง จนกว่าท่านอิมามซะมาน (อ.) จะมาจัดตั้งรัฐบาลของท่านในแผ่นดินนี้ และในช่วงเวลานั้น ท่านอิมามฮุเซน (อ.) บรรดาชาวถ้ำ (อัซอาบุลกะฮ์ฟี่) ท่านซัลมาน ฟาริซี จะเข้าร่วมสมทบกับท่านอิมาม (อ.) ผู้นี้ เฉพาะท่านอิมาม ฮุเซน (อ.) เพียงท่านเดียวก็จะทำหน้าที่ปกครองในหน้าแผ่นดินนี้เป็นเวลาถึง 300 ปี”

      เขากล่าวว่า “ด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมา ท่านซัลมาน ฟาริซี จะเป็นผู้ปกครองในประเทศอิหร่าน และรัฐของท่านอิมามซะมาน (อ.) จะถูกจัดตั้งขึ้นที่เมืองกูฟะฮ์”.


แปล/เรียบเรียง โดย เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม