ตามโครงการ "มหานครอิสราเอล" และ "แผนของโอเด็ด ยิโนน” (Oded Yinon) นั้น ระบอบไซออนิสต์ กำลังพยายามที่จะออกแบบสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์การเมืองของตนใหม่ ผ่าน “บอลเคอะไนเซชัน” (Balkanization) หรือกระบวนการทำให้ภูมิภาคกลายเป็นเหมือนบอลข่าน ในรูปของการแบ่งซอยให้กลายเป็นประเทศเล็กๆ และการทำให้บรรดารัฐบาลอาหรับที่รายล้อมอยู่รอบตัวเองเกิดความอ่อนแอ
ครั้งหนึ่ง "ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์" (Theodore Herzl) บิดาแห่งลัทธิไซออนิสต์ ได้กล่าวว่า "อาณาเขตของรัฐยิว เริ่มจากแม่น้ำไนล์จรดแม่น้ำยูเฟรติส " สำนวนเดียวกันนี้ยังได้ถูกกล่าวถึงในคำพูดของ Rabbi Fishman ด้วยเช่นกันว่า "ดินแดนแห่งพันธสัญญาเริ่มจากแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ไปจนถึงแม่น้ำยูเฟรติสของอิรัก รวมถึงพื้นที่ส่วนต่างๆของซีเรียและเลบานอน” ด้วยกับการถึงบริบทของเหตุการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน ท่านทั้งหลายจะพบได้ว่า การบุกอิรัก (ของสหรัฐฯ) ในปี 2003, สงครามหกวันในเลบานอนในปี 2006 และการโจมตีในลิเบียในปี 2011 และเหตุการณ์ต่างๆ ล่าสุดในซีเรีย อิรักและเยเมนล้วนเกิดขึ้นในเส้นทางของแผนการของชาวไซออนิสต์สำหรับตะวันออกกลาง แผน “มหานครอิสราเอล” คือความพยายามที่จะบ่อนทำลายและสร้างความอ่อนแอบรรดาประเทศเพื่อนบ้านอาหรับ โดยผ่านทางโครงการขยายดินแดนไซออนิสต์ ด้วยการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกา, ซาอุดีอาระเบียและนาโต ในเส้นทางนี้พวกเขากำลังพยายามที่จะเพิ่มขอบเขตอำนาจและอิทธิพลและการเผชิญหน้ากับอิหร่าน คงไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้วว่าโครงการ “มหานครอิสราเอล”นั้นดำเนินสอดคล้องกับแนวคิดของจักรวรรดินิยมอเมริกาอย่างแท้จริง การดำเนินการในขณะนี้ของทรัมป์ในการย้ายเมืองของอิสราเอลจากกรุงเทลอาวีฟไปยังเยรูซาเล็มนั้น หมายถึงการรับใช้แผน “มหานครอิสราเอล” (Greater Israel)
นิวยอร์คไทม์ส
นิวยอร์กไทม์สได้เขียนในบทวิเคราะห์เมื่อไม่นานมานี้ ว่า : เยรูซาเล็ม (บัยตุลมักดิส) เป็นเมืองที่มีสำคัญยิ่งสำหรับชาวมุสลิมและถูกอ้างสิทธิ์โดยชาวยิว นับตั้งแต่ปี 1948 ซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงและโต้แย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย เมืองซึ่งก่อนปีดังกล่าว องค์การสหประชาชาติกำหนดให้เป็นพื้นที่ฟรีโซนพิเศษ และหลังจากสงครามปี 1948 ได้ถูกยึดครองโดยรัฐบาลอิสราเอล พื้นที่อีกครึ่งหนึ่งทางตะวันออกของเมืองสำคัญนี้ ได้ถูกยึดครองหลังจากสงครามปี 1967 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาได้พยายามที่จะแสดงตัวเองว่าเป็นผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นธรรม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในทางปฏิบัติ แผนต่างๆ ที่วางอยู่เบื้องหน้านั้นเป็นการทำลายสิทธิต่างๆ ของชาวปาเลสไตน์ และด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงปฏิเสธที่จะยอมรับแผนเหล่านั้น และสถานการณ์ของเมืองนี้ก็ยังคงอยู่ในสภาพของประเด็นที่เป็นข้อพิพาท ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าจุดยืนของสหรัฐฯคือการสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ และในความเป็นจริงแล้วเป็นผู้ที่จะรวมพื้นที่ทุกกระเบียดนิ้วให้กับอิสราเอล สิ่งที่บรรดาอดีตประธานาธิบดีก่อนหน้าทรัมป์ ได้ดำเนินการทางการทูตและใช้เวลายาวนานในการกระทำมันด้วยเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงจากความตึงเครียดใด ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น แต่ทรัมป์กลับดำเนินการมันแบบสายฟ้าแลบและโดยปราศจากการเตรียมพื้นฐานใดๆ
สหรัฐอเมริกาได้พยายามมาโดยตลอดที่จะแสดงให้เห็นภาพความเป็นกลางของตัวเอง แต่ในทศวรรษที่ 1980 ด้วยกับการมีอำนาจของกลุ่ม “ผู้เผยแพร่คำสอนของพระเยซู” (Evangelists) คริสเตียนขวาจัดที่สนับสนุนอิสราเอล พวกเขาได้ยึดนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อชาวปาเลสไตน์ กลุ่ม “ผู้เผยแพร่คำสอนของพระเยซู” (Evangelists) เชื่อมั่นว่า สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องนำชาวอิสราเอลกลับไปสู่ดินแดนที่เป็นประเด็นขัดแย้งนี้ และการลุกฮือ อินติฟาเฎาะฮ์ (intifada) ครั้งที่สองก็เป็นผลมาจากแรงกดดันเหล่านี้ ในมุมมองของประเทศอื่น ๆ การดำเนินการล่าสุดของทรัมป์แสดงให้เห็นถึงการอยู่ฝ่ายอิสราเอลอย่างชัดเจน และได้สูญเสียภาพลักษณ์ในฐานะผู้เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยลงอย่างสมบูรณ์ ทั้งสามรัฐบาลก่อนหน้าทรัมป์จะให้ข้อได้เปรียบต่างๆ แก่รัฐบาลอิสราเอลเพื่อที่จะทำให้รัฐบาลอิสราเอลยังคงอยู่ในความสงบและเป็นการหลีกเลี่ยงจากความตึงเครียดและความไร้เสถียรภาพในตะวันออกกลาง แต่ทรัมป์ได้ยึดวิธีการที่ลำเอียงและเป็นอันตรายอย่างมากซึ่งจะมีผลกระทบติดตามมาอย่างมากมาย
ในสายตาของชาวปาเลสไตน์นั้น สหรัฐอเมริกาไม่อาจไว้วางใจได้และอิสราเอลจะต้องจ่ายค่าชดเชยการยึดครองดินแดนของตน แต่ความจริงก็คือว่าสหรัฐอเมริกาในโลกอาหรับก็ไม่ได้รับความไว้วางใจเช่นกัน เมื่อสหรัฐฯ สามารถโจมตีประเทศมุสลิมหนึ่ง อย่างเช่นอิรักและฆ่าคนนับแสนได้ ท่านทั้งหลายคาดหวังภาพลักษณ์ของพวกท่านจะเหลืออะไรอยู่อีกหรือ? พันธมิตรผู้ซึ่งวันหนึ่งสามารถที่จะโจมตีพวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม “มาร์ค ลินช์” (Mark Lynch) ศาสตราจารย์ของมหาลัยจอร์จ วอชิงตัน (George Washington University) และนักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางการเมืองเชื่อว่าการกระทำของ ทรัมป์จะเสริมสร้างกลไกถาวรในการสร้างเอกภาพที่เข้มแข็งระหว่างพันธมิตรอาหรับของตนกับอิสราเอลได้ ซึ่งตลอดเวลานั้นในภาพภายนอกดูเหมือนพวกเขาต่อต้านอิสราเอล โดยพื้นฐานแล้วปัญหาของปาเลสไตน์ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับพันธมิตรอาหรับ และเสียงตระโกนต่อต้านทรัมป์ในขณะนี้เป็นเพียงเรื่องอุปโลกน์และการบริโภคภายในของพวกเขาเท่านั้น เนื่องจากพวกเขามีความหวั่นกลัวว่าจะเกิดความวุ่นวายและการชุมนุมประท้วงในประเทศ
สหรัฐอเมริกาได้ติดอาวุธทางทหารให้แก่อิสราเอลเพื่อรักษาความมั่นคงของมัน ในอีกด้านหนึ่งบรรดาผู้นำขององค์การบริหารปาเลสไตน์ หรือ พีเอ (Palestinian Authority--PA) จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยสหรัฐอเมริกา เพราะพวกเขาไม่ต้องการสูญเสียสถานะและตำแหน่งของตน และเพื่อว่าเงินก็จะได้มาถึงมือของพวกเขา ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง บรรดาพวกเหยียบเรือสองแคมเหล่านี้จึงไม่ได้รับความนิยมและการยอมรับในหมู่ชาวปาเลสไตน์ สิ่งนี้อาจนำไปสู่การล่มสลายขององค์การบริหารปาเลสไตน์ (พีเอ) และการเพิ่มขึ้นของความสับสนวุ่นวายในระยะอันสั้นและในระยะยาวจะนำไปสู่การมีอำนาจของกลุ่มฮามาสและการขึ้นสู่อำนาจของกลุ่มนี้ในที่สุด อีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณาถึงวิธีการที่อิสราเอลใช้เราควรเฝ้ารอดูการกลับมาของการเหยียดเชื้อชาติอีกครั้ง และเมื่อพิจารณาถึงการละเมิดสิทธิของชาวปาเลสไตน์อย่างสมบูรณ์ เราอาจจะได้เห็นความขัดแย้งที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ การดำเนินกานี้รของทรัมป์ได้เป็นตัวเร่งความขัดแย้งขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของปาเลสไตน์และอิสราเอล
Global Research
เว็บไซต์นี้ได้ตีพิมพ์บทวิเคราะห์ของศาสตราจารย์มิเชล เชเซโดฟสกี้ (Prof Michel Chossudovsky) ซึ่งเขาได้เขียนว่า : การประกาศให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลโดยทรัมพ์นั้น หมายถึงเป็นผู้ละเมิดมติที่ 2334 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นการปกป้องการยึดครองที่ผิดกฎหมาย การดำเนินการของทรัมป์เท่ากับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตั้งถิ่นฐานของรัฐบาลอิสราเอลและเป็นการยืนยันอย่างแท้จริงถึงแผน "มหานครอิสราเอล" (Greater Israel) นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการต่างประเทศที่แน่นอนของสหรัฐฯ ในการ "“บอลเคอะไนเซชัน” (Balkanization) หรือกระบวนการทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางกลายเป็นเหมือนบอลข่าน และการดำเนินการของทรัมป์ได้เกิดขึ้นเพื่อเป้าหมายทำลายเสถียรภาพในภูมิภาค (ตะวันออกกลาง) อย่างแท้จริง
อย่าลืมว่า ครั้งหนึ่ง "ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์" (Theodore Herzl) บิดาแห่งลัทธิไซออนิสต์ ได้กล่าวว่า "อาณาเขตของรัฐยิว เริ่มจากแม่น้ำไนล์จรดแม่น้ำยูเฟรติส " สำนวนเดียวกันนี้ยังได้ถูกกล่าวถึงในคำพูดของ Rabbi Fishman ด้วยเช่นกันว่า "ดินแดนแห่งพันธสัญญาเริ่มจากแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ไปจนถึงแม่น้ำยูเฟรติสของอิรัก รวมถึงพื้นที่ส่วนต่างๆของซีเรียและเลบานอน” ด้วยกับการถึงบริบทของเหตุการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน ท่านทั้งหลายจะพบได้ว่า การบุกอิรัก (ของสหรัฐฯ) ในปี 2003, สงครามหกวันในเลบานอนในปี 2006 และการโจมตีในลิเบียในปี 2011 และเหตุการณ์ต่างๆ ล่าสุดในซีเรีย อิรักและเยเมนล้วนเกิดขึ้นในเส้นทางของแผนการของชาวไซออนิสต์สำหรับตะวันออกกลาง แผน “มหานครอิสราเอล” คือความพยายามที่จะบ่อนทำลายและสร้างความอ่อนแอบรรดาประเทศเพื่อนบ้านอาหรับ โดยผ่านทางโครงการขยายดินแดนไซออนิสต์ ด้วยการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกา, ซาอุดีอาระเบียและนาโต ในเส้นทางนี้พวกเขากำลังพยายามที่จะเพิ่มขอบเขตอำนาจและอิทธิพลและการเผชิญหน้ากับอิหร่าน คงไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้วว่าโครงการ “มหานครอิสราเอล”นั้นดำเนินสอดคล้องกับแนวคิดของจักรวรรดินิยมอเมริกาอย่างแท้จริง
แผนขององค์การไซออนิสต์สากลสำหรับมหานครอิสราเอล ครอบคลุมดินแดนและพื้นที่ต่อไปนี้ :
1-ปาเลสไตน์ในประวัติศาสตร์
2-ตอนใต้ของเลบานอนไปจนถึง “ไซดอน” (Sidon), “แม่น้ำลิตานี” (Latani River)
3-ที่ราบสูงโกลาน, ที่ราบสูงเฮารานแลจังหวัดดัรอา (Daraa) ในประเทศซีเรีย
4-การควบคุมเส้นทางรถไฟของฮิญาซจากดัรอา (Dara) ไปจนถึงงโอมานและไปยังอ่าวอะกาบา (Aqaba) ในจอร์แดน.
ชาวไซออนิสต์บางคนก็ต้องการมากยิ่งไปกว่านั้น : จากแม่น้ำไนล์ไปจนถึงแม่น้ำยูเฟรติส ซึ่งรวมถึงปาเลสไตน์, เลบานอน, ตะวันตกของซีเรียและตอนใต้ของตุรกี
แผน “มหานครอิสราเอล” (Greater Israel) (รูปภาพ)
รัฐบาลไซออนิสต์มีการตัดสินใจที่จะจัดตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยจำนวนมากเพื่อที่จะกดดันให้ชาวปาเลสไตน์ออกจากดินแดนที่อยู่อาศัยของตนและจะสมทบรวมเขตเวสต์แบ็งก์และฉนวนกาซาเข้ากับดินแดนที่ถูกครองครองในนาม "รัฐอิสราเอล" ด้วย ต่อจากนั้นจะสร้างรัฐบาลตัวแทน (พร็อกซี่) ขึ้นในส่วนต่างๆของซีเรีย เลบานอน จอร์แดน ซินาย ซาอุดีอาระเบียและอิรักซึ่งอยู่ในแผนการของการยึดครองของพวกเขา “แผนของยิโนน” (Oded Yinon) เป็นแผนต่อเนื่องของแนวคิดการล่าอาณานิคมของอังกฤษในตะวันออกกลางและมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มั่นใจว่าอิสราเอลจะอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าในภูมิภาค แผนนี้พยายามที่จะกำหนดสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์การเมืองของตนใหม่ ผ่าน “บอลเคอะไนเซชัน” (Balkanization) หรือกระบวนการทำให้ภูมิภาคกลายเป็นเหมือนบอลข่าน ในรูปของการแบ่งซอยให้กลายเป็นประเทศเล็กๆ และการทำให้บรรดารัฐบาลอาหรับที่รายล้อมอยู่รอบตัวเองเกิดความอ่อนแอ
อิรักถือได้ว่าเป็นพื้นที่ส่วนที่สำคัญที่สุดในความคิดของอิสราเอล เนื่องจากชาวไซออนิสต์มองประเทศนี้ไว้ในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของแผนของพวกเขาและตัดสินใจที่จะแบ่งมันออกเป็นสามส่วน คือ รัฐของชาวเคิร์ดและสองรัฐของอาหรับ และตามแผนของโอเด็ด ยิโนน (Oded Yinon) สิ่งนี้จะบรรลุความเป็นจริงได้โดยอาศัยการสร้างสงครามระหว่างอิหร่านและอิรัก นิตยสาร “Atlantic” ฉบับปี 2008 และนิตยสารของกองทัพอากาศสหรัฐฯในปี 2006 ทั้งสองได้นำเสนอแผนของโอเด็ด ยิโนน (Oded Yinon) ไว้ และในแผนนั้นยังได้พูดถึงการแบ่งแผ่นดินเลบานอน ซีเรียและอียิปต์และการแบ่งซอยบางส่วนของประเทศอิหร่านและตุรกี แผนของโอเด็ด ยิโนนได้ก้าวไกลไปถึงกระทั่งว่าเรียกร้องให้มีการแบ่งซอยแอฟริกาเหนือจากอียิปต์ไปถึงซูดานและลิเบีย
แผนของโอเด็ด ยิโนน (Oded Yinon) (รูปภาพ)
แผนของชาวไซออนนิสต์จำเป็นจะต้องบรรลุเป้าหมายในสองขั้นตอน คือ : ขั้นตอนแรก : การเปลี่ยนประเทศอิสราเอลให้เป็นอำนาจระดับภูมิภาคที่ไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย ในระดับจักรวรรดิหนึ่ง และขั้นตอนที่สอง : การแบ่งซอยบรรดาประเทศอาหรับที่อยู่รอบๆ และเปลี่ยนประเทศเหล่านั้นให้เป็นรัฐบาลที่อ่อนแอและเชื่อฟังคำสั่ง แต่ละรัฐบาลเหล่านี้มีนิกายหรือมัสฮับ (สำนักคิด) และศาสนาเฉพาะของตน และจะในความขัดแย้งและการแข่งขันกันตลอดเวลา และแต่ละรัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นเป็นเหมือนหอสังเกตุการณ์ของอิสราเอลและจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกต้องตามกฎหมายของมัน ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในอิรักและซีเรียก็ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันนี้ แต่ความปราชัยของกลุ่มไอซิส และกลุ่มญับฮะตุนนุศเราะฮ์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ในทั้งสองประเทศนี้ ที่เกิดจากกลุ่มพันธมิตรของอิหร่าน, รัสเซียและฮิซบุลลอฮ์ของเลบานอนนั้น เป็นความปราชัยและความล้มเหลวครั้งใหญ่มากสำหรับแผนและโครงการของชาวไซออนิสต์ และทำให้มันต้องถอยหลังอย่างเห็นได้ชัด
แหล่งที่มา:
1-https://www.nytimes.com/2017/12/09/world/middleeast/jerusalem-trump-capital.html?hp&action=click&pgtype=Homepage&clickSource=story-heading&module=first-column-region®ion=top-news&WT.nav=top-news
2-https://www.globalresearch.ca/greater-israel-the-zionist-plan-for-the-middle-
แปลและเรียบเรียงโดย : เชคมูฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม