หลังโดรนสหรัฐฯ ถูกสอย อาบูดาบีเปิดประชุมลับ ประเมินและเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของตน

สำนักข่าวอนาโตเลียของตุรกีได้ตีพิมพ์รายงานเกี่ยวกับการประชุมลับในอาบูดาบีที่แสดงให้เห็นว่าโดรนของสหรัฐฯ ที่ถูกอิหร่านสอยร่วงนั้น เป็นเหตุทำให้ยูเออีต้องปฏิรูปนโยบายต่างประเทศของตน....

      ตามรายงานของสำนักข่าวฟาร์ส ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานมากมายที่บ่งชี้ถึงสัญญาณต่างๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในท่าทีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่มีต่อสถานการณ์ในภูมิภาคได้ถูกตีพิมพ์ และเมื่อวานนี้ (วันที่  2 สิงหาคม 2562) สำนักข่าวอนาโตเลียได้เขียนในรายงานพิเศษโดยอ้างแหล่งข่าวต่างๆ ว่า การสอยโดรนของสหรัฐอเมริกาโดยอิหร่านได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการประเมินและการปฏิรูปแนวทางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

เนื้อหาต่อไปนี้คือคำแปลข้อความทั้งหมดของรายงานของอนาโตเลีย :

     อนาโตเลียได้รับข้อมูลต่างๆ จากแหล่งที่มาที่ใกล้ชิดกับผู้ที่อยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่อธิบายถึงสาเหตุ ของการปรากฏขึ้นของสัญญาณต่างๆ ล่าสุดของการเปลี่ยนแปลงในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และความมุ่งมั่นของประเทศนี้ที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์กับอิหร่าน

     แหล่งข่าวนี้ซึ่งไม่ต้องการให้เปิดเผยชื่อของตนได้กล่าวว่า วันที่ 20 มิถุนายน หลังจากที่มีรายงานว่าอิหร่านได้ยิงเครื่องบิน (ไร้คนขับ) ของสหรัฐอเมริกาตก บรรดาเจ้าชายของยูเออีได้จัดการประชุมลับขึ้น

     ในการประชุมนี้มี “มุฮัมมัด บินซายิด” มกุฎราชกุมารของอาบูดาบีและ “มุฮัมมัด บิน รอชิด อัลมักตูม” ผู้ปกครองของดูไบและนายกรัฐมนตรีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าร่วมด้วย

     แหล่งข่าวกล่าวว่า ในที่ประชุมนี้อัลมักตูมได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายด้านต่างประเทศของประเทศและเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องทบทวนมันใหม่ แหล่งข่าวอธิบายว่า อัลมักตุม กล่าวในที่ประชุมนี้ว่า : "เราจำเป็นต้องทบทวนนโยบายต่างประเทศของเราใหม่อย่างสมบูรณ์ เรากำลังใช้จ่ายเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ทุกวันโดยไม่ได้รับอะไรเลย เราต้องละทิ้งนโยบายการแทรกแซงโดยตรงในกิจการของประเทศอื่นๆ ที่มีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากสำหรับเรา แต่ไม่ได้นำความสำเร็จใดๆ มาให้เลย"

     อัลมักตุมได้บอกว่า จำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเงินจำนวนมากในพื้นที่ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ในที่นั้น เลย ตามคำพูดของเขา การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในลิเบียหรือซูดานไม่มีประโยชน์หรือโทษใดๆ สำหรับยูเออี

     เขากล่าวว่า : "เราหวังว่าบางทีสหรัฐฯ จะดำเนินการทางทหารกับเตหะราน แต่ (โดนัลด์) ทรัมป์ (ประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ได้เรียกร้องให้มีการเจรจากับอิหร่าน แม้ว่าหลังจากที่ประเทศนี้ได้ยิงเครื่องบินของสหรัฐฯ ตกแล้วก็ตาม หากวอชิงตันทิ้งระเบิดถล่มเตหะราน ในกรณีเช่นนี้อิหร่านอาจจะกำหนดเป้าหมายมาที่ยูเออีเป็นการตอบโต้ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยทางอ้อมโดยใช้มือกลุ่มฮูซี (ของเยเมน) "

     แหล่งข่าวของยูเออี ได้กล่าวว่า มุฮัมมัด บินรอชิด อัลมักตุม ได้กล่าวกับผู้เข้าร่วมประชุมว่า ในกรณีที่ยูเออีถูกถล่มด้วยระเบิดของอิหร่านเพียงลูกเดียว มันจะว่างเปล่าจากบรรดานักลงทุน และเราจะไม่สามารถรักษาแรงงานชาวเอเชียไว้ได้เลย

     บินรอชิด อัลทักตูม ยังได้อธิบายในที่ประชุมนี้อีกว่า "กองกำลังของ (นายพล) คาลิฟา ฮาฟเตอร์ (Khalifa Haftar) ในลิเบียที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้การสนับสนุนนั้นไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในความพยายามที่จะยึดครองเมืองตริโปลี พร้อมกับกล่าวว่า : “หลายปีแล้วที่เราได้ให้การสนับสนุนฮาฟเตอร์โดยไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เลย เราต้องมองหาตัวเลือกทางการเมืองแทน ไม่ใช่ตัวเลือกทางการทหาร"

     ในที่ประชุมนี้ผู้ปกครองดูไบยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายต่างประเทศของยูเออี, การหยุดยั้งความเสียหายของเงินทุนและการคำนึงอย่างจริงจังถึงความเป็นไปได้ของการโจมตีของอิหร่านที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

     ตามคำพูดแหล่งข่าวของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มุฮัมมัด บินซายิด อันนะฮ์ยาน ได้ใคร่ครวญอย่างจริงจังต่อคำวิจารณ์ต่างๆ ของบินรอชิด และได้ออกคำสั่งให้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

     ตามรายงานของอนาโตเลียหนึ่งในเหตุผลที่ผลักดันให้ยูเออีไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของตน คือกระแสของการวิจารณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเครือข่ายสื่อมวลชนที่มีต่อนโยบายนี้


ที่มา : สำนักข่าวฟาร์ส

ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม