foto1
foto1
foto1
foto1
foto1

In the name of Allah I بِسْــــــــــــــــــمِ اﷲِالرَّحْمَنِ اارَّحِيم

Assalamualaikum I اَلسَّلَامُ عَلَيْكُم

ขอความสันติ จงมีแด่ท่าน I Peace Be Upon You

WELCOME TO IICTH.COM I ยินดีต้อนรับ สู่เว็บไซต์

ศูนย์สารสนเทศอิสลาม I Islamic Information Center

ภาพ-นิทรรศการ

25,10,0,50,1
5,600,50,1,3000,500,25,800
100,150,1,50,12,30,50,1,70,12,1,40,1,1,1,3000
0,1,0,0,2,40,15,5,2,1,0,17,0,1
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW..
Loves Of Muhammad SAW...
Loves Of Muhammad SAW...
Loves Of Muhammad SAW...
Loves Of Muhammad SAW...
Loves Of Muhammad SAW...
Loves Of Muhammad SAW...
Loves Of Muhammad SAW...
Loves Of Muhammad SAW...
Loves Of Muhammad SAW...
Loves Of Muhammad SAW...

ชีวประวัติท่านฮัมซะฮ์ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ และการเป็นชะฮีดของท่าน

      ท่านฮัมซะฮ์ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ คือ ซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (หัวหน้าของ(ชะฮีด) บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในหนทางแห่งพระองค์อัลลอฮ์)

      ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ฮัมซะฮ์ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ คือ ผู้หนึ่งที่เป็นรักยิ่งของท่านศาสดาอันทรงเกียรติแห่งอิสลาม ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ซึ่งท่านนั้นได้แสดงออกต่อความรักที่มีต่อท่านฮัมซะฮ์อย่างเปิดเผย

      รายงานจาก ท่านอะบุลฟะร็อจ อัลอิศฟาฮานี ได้กล่าวว่า มีรายงานหนึ่งจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์ที่ประเสริฐที่สุดในประชาชาตินี้ คือ ท่านฮัมซะฮ์ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ,ท่านญะอ์ฟัร บิน อะบีฏอลิบ และท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (อ)

      รายงานจากท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ สาวกผู้ทรงเกียรติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล) ได้รายงานว่า มีสหายคนหนึ่งของเรา ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งได้เข้ามาหาท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อล) แล้วเขาได้ถามท่านศาสนทูตว่า จะให้ฉันตั้งชื่อลูกน้อยของฉันว่าอย่างไร ? ท่านก็ตอบกับเขาว่า ชื่อที่ดีที่สุดและเป็นที่รักที่สุดก็คือ ฮัมซะฮ์ เพราะเขาคือ ผู้ที่ฉันรักมากที่สุด

ลักษณะอันเป็นพิเศษของท่านฮัมซะฮ์

     ชื่อของท่านคือ ฮัมซะฮ์ เพราะว่าท่านนั้นเปรียบดุจดั่งราชสีห์ที่หาญกล้า ท่านเป็นผู้ที่มารยาทที่ดีเลิศ และเป็นที่เคารพรักในหมู่มิตรสหาย มีร่างกายกำยำ ซึ่ง อิบนุ ซะอ์ด์ กล่าวถึงท่านฮัมซะฮ์ว่า เขามีรูปร่างที่น่าเกรงขาม ไม่สูงและไม่เตี้ยจนเกินไป

     ท่านฮัมซะฮ์ในหมู่บรรดาชาวกุเรช คือ ผู้กล้าหาญที่ไม่เกรงกลัวใคร เมื่อยามที่ต้องต่อสู้กับบรรดาศัตรู ท่านจะได้รับชัยชนะเหนือพวกเขาเหล่านั้น และท่านยังไม่ยอมรับการกดขี่ข่มเหงใดๆทั้งสิ้น

     หลังจากที่ท่านฮัมซะฮ์เข้ารับอิสลาม ท่านจะปกป้องท่านศาสดา(ซ็อล) จากบรรดาศัตรูและยืนหยัดต่อกรกับผู้ที่ต่อต้านศาสดา และท่านจะขจัดภยันตรายที่จะเกิดขึ้นกับศาสดา (ซ็อล)  จากการถูกรังแก  ได้มีรายงานว่า อะบูละฮับ ซึ่งเป็นพี่น้องคนหนึ่งของท่านฮัมซะฮ์ และเป็นศัตรูคนสำคัญคนหนึ่งของศาสดา เป็นผู้ที่ต่อต้านอิสลามอย่างเปิดเผย และรังแกท่านศาสดา(ซ็อล) อยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้ อัลกุรอานได้กล่าวถึงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของอะบูละฮับ และภรรยาของเขา ชื่อว่า อุมมุ ญะมีล ในซูเราะฮ์ (บท) หนึ่งของอัลกุรอานที่กล่าวตำหนิการกระทำของอะบูละฮับ นั่นก็คือ ซูเราะฮ์ (บท) อัลมะซัด

    ในขณะเมื่อท่านศาสดาออกจากบ้าน อะบูละฮับก็เอาเศษขยะเทไปที่ตัวของท่าน ซึ่งการกระทำนี้ เป็นการรังแกและเหยียดหยามท่านศาสดา (ซ็อล) เป็นอย่างมาก วันหนึ่งเมื่อฮัมซะฮ์เห็นตัวของท่านศาสดา (ซ็อล) เต็มไปด้วยเศษขยะ เขาจึงนำเอาจากมือของเขาเก็บเศษขยะเทใส่ตัวของเขาเอง เพื่อแสดงถึงความรู้สึกอันเดียวกันกับท่านศาสดา (ซ็อล)

     การเข้ารับอิสลามของท่านฮัมซะฮ์ ถือว่าเป็นนิมิตที่ดีเยี่ยม จากการปกปิดหรือซ่อนเร้นในการเผยแพร่มาสู่การเปิดเผยด้วยกับความเป็นสิริมงคลของท่านฮัมซะฮ์ เมื่อท่านยอมรับในความเป็นศาสนทูตจากหลานของท่าน นั่นก็คือ ท่านศาสดามูฮัมมัด (ซ็อล)

     บรรดามุสลิมทั้งหลายเริ่มที่จะมารวมตัวกันนมาซญะมาอะฮ์ (นมาซที่เป็นหมู่คณะ)ในมัสยิด ด้วยกัน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการเข้ารับอิสลามของท่านฮัมซะฮ์

     ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงนี้ได้เกิดขึ้นระหว่างบรรดามุสลิมกับเหล่าศัตรู จากการถูกรังแกของพวกเขา อีกทั้งท่านศาสดา (ซ็อล) ก็ได้ลดน้อยลง นั่นคือการตักเตือนซึ่งแทนที่การถูกรังแกทางร่างกาย

     หลังจากที่อิสลามได้เข้ามาอยู่ในจิตวิญญาณของท่านฮัมซะฮ์ และปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น และมุฮัมมัด คือ ศาสนทูตแห่งพระองค์

     ท่านฮัมซะฮ์ได้กล่าวกลอนหนึ่งที่มีความหมายถึง การยอมจำนนต่อพลานุภาพแห่งพระองค์อัลลอฮ์  (ซ.บ) ด้วยกับการสรรเสริญที่เป็นสิทธิอันแท้จริงแด่พระองค์ ทรงประทานท่านมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตแห่งพระองค์ และนำมาซึ่งศาสนาแห่งพระองค์สู่มวลบ่าวของพระองค์ นับว่าเป็นความโปรดปรานอันหนึ่งแห่งพระองค์ ที่มีต่อบ่าวของพระองค์

ท่านฮัมซะฮ์ในสมรภูมิรบ บะดัร

     ท่านฮัมซะฮ์ เป็นผู้หนึ่งที่อยู่เคียงข้างท่านศาสดา (ซ็อล) ในสมรภูมิรบ ตราบจนสิ้นชีวิต เพราะท่านเคยบอกกับศาสดาว่า ฉันจะปกป้องท่านด้วยกับชีวิตของฉัน

     บรรดานักบันทึกประวัติศาสตร์อิสลามได้เขียนไว้ว่า ท่านฮัมซะฮ์ คือ ผู้ที่อยู่ร่วมในสงครามบะดัร เคียงข้างท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ที่มีบทบาทที่สำคัญที่ไม่อาจจะลืมได้

     ได้มีรายงานว่าในสมรภูมิรบ สงครามบะดัร ท่านฮัมซะฮ์ เป็นคนเดียวที่เอาขนนกกระจอกเทศมาแนบไว้ที่อกของตน และเมื่อสงครามสงบลง และกองทัพอิสลามได้รับชัยชนะ

     อับดุรเราะมาน บิน เอาว์ฟ ได้พบกับอุมัยยะฮ์ บิน คอลัฟ และได้ถามเขาว่า เจ้ารู้หรือไม่ว่า ชายที่มีขนนกกระจอกเทศที่อกของเขา นั่นคือใคร?

      อุมัยยะฮ์ได้ตอบว่า เขาคือ ฮัมซะฮ์ บุตรของอับดุลมุฏฏอลิบ

สัญญาหนึ่งแห่งสรวงสวรรค์

      ขณะที่ท่านอะมีรุลมุมินีน อะลี (อ) ,ท่านฮัมซะฮ์และท่านอุบัยดะฮ์ บิน ฮาริษ ได้ต่อสู้รบกับศัตรูอิสลามอย่าง อุตบะ ,ชัยบะฮ์และวะลีด จนได้รับชัยชนะเหนือพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้ให้สัญญากับท่านทั้งสาม หมายถึง อะลี ,ฮัมซะฮ์และ อุบัยดะฮ์ โดยกล่าวไว้ในอัลกุรอานบทอัลฮัจญ์ โองการที่ 23-24 ว่า

إِنَّ اللَّهَ یُدْخِلُ الَّذِینَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ جَنَّاتٍ تَجْرِی مِن تَحْتِهَا الْأَنْهَارُ یُحَلَّوْنَ فِیهَا مِنْ أَسَاوِرَ مِن ذَهَبٍ وَلُؤْلُؤًا وَلِبَاسُهُمْ فِیهَا حَرِیرٌ

“แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงนำบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ประกอบคุณงามความดีเข้าสู่สรวงสวรรค์ ณ เบื้องล่างของมันมีธารน้ำที่หลั่งไหล ซึ่งในนั้นจะมีกําไลมือที่ทำจากทองคํา และมีไข่มุกให้พวกเขาได้สวมใส่ และอาภรณ์ของพวกเขาที่สวมใส่ในนั้นก็เป็นผ้าไหม”

وَهُدُوا إِلَى الطَّیِّبِ مِنَ الْقَوْلِ وَهُدُوا إِلَى صِرَاطِ الْحَمِیدِ

“ และพวกเขาจะถูกนำสู่คําพูดที่ดีมีประโยชน์ และจะถูกนำสู่ทางอันเป็นที่สรรเสริญ นั่นคือ สรวงสวรรค์”

ท่านฮัมซะฮ์ในสมรภูมิอุฮุด

     ท่านฮัมซะฮ์ เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมอยู่กับท่านศาสดาในสงครามอุฮุด เขาหาญกล้ามากสามารถพิชิตบรรดาศัตรูมากมาย รายงานจากอิบนุซะอ์ด ว่า ท่านฮัมซะฮ์ บุตรอับดุลมุฏฏอลิบ ในสงครามอุฮุด ที่มือของเขาถือดาบทั้งสองเล่มได้ต่อสู้อยู่เบื้องหน้าศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) และตะโกนว่า ฉันคือ ราชสีห์แห่งอัลลอฮ์ และฉันจะปราบศัตรูให้พินาศ

     ลักษณะอันพิเศษของท่านฮัมซะฮ์ คือ ท่านจะถือดาบทั้งสองเล่มพร้อมกันในสมรภูมิรบ ซึ่งประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ไม่มีบุรุษใดในประวัติศาสตร์ที่ถือดาบสองเล่มพร้อมกัน แม้แต่ วะฮ์ชี ผู้สังหารท่าน ยังได้พูดเกี่ยวกับท่านว่า ฉันเฝ้าจับตาดูฮัมซะฮ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีทางคลาดสายตาเป็นอันขาด และฉันได้เห็นเขาต่อสู้ด้วยดาบทั้งสองของเขา ศัตรูคนแล้วคนเล่าไม่มีใครต่อกรกับเขาได้

      วันที่ 15 เดือนเชาวาล ฮิจญ์เราะฮ์ศักราชที่ 3 ในสงครามอุฮุด ท่านฮัมซะฮ์ บินฮับดิลมุฏฏอลิบ (อ.) ซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (หัวหน้าบรรดาผู้สละชีพในทางของอัลลอฮ์) พร้อมด้วยมุสลิมอีก 69 คน ที่ได้เสียชีวิตและเป็นชะฮีด ในสงครามครั้งนี้กองทัพของมุสลิมมีจำนวนหนึ่งพันคน ซึ่งตามบางบันทึกทางประวัติศาสตร์ มีจำนวนสามร้อยคนจากพวกเขาที่เดินทางกลับในระหว่างทาง เหลือเพียงเจ็ดร้อยคนที่เข้าสู่การทำสงคราม มีรายงานกล่าวว่าฝ่ายผู้ปฏิเสธ (กุฟฟาร) ที่ถูกฆ่าตายมีจำนวน 22 หรือ 23 หรือ 28 คน ส่วนฝ่ายของมุสลิมนั้นถูกฆ่าตาย (เป็นชะฮีด) จำนวน 70 คน ในวันนี้เองที่บรรดาศัตรูได้ทำให้หน้าผากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) แตก

       และในวันดังกล่าวนี้เอง ขณะที่ผู้คนจำนวนมากหนีทัพและไม่เชื่อฟังคำสั่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) แต่ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ให้การคุ้มกันและปกป้องท่าน จนเป็นเหตุทำให้มวลมะลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ได้แสดงการยกย่องสรรเสริญท่าน

       ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวกับท่านอิมามอะลี (อ.) ว่า "โอ้อะลี! เจ้าได้ยินไหมว่า จากฟากฟ้านั้น พวกเขา (มวลมะลาอิกะฮ์) กำลังยกย่องสรรเสริญเจ้า" หนึ่งจากมวลมะลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) นั้นมีนามว่า "ริฎวาน" และบางรายงานกล่าวว่า "ญิบรออีล" ได้กล่าวว่า

لَاسَيْفَ إلاّ ذُوالْفَقَارِ وَ لَا فَتَى إلاّ عَلِىّ

"ไม่มีดาบใด นอกจากดาบซุลฟิกอร และไม่มีชายหนุ่ม (ผู้กล้าหาญ) คนใด นอกจากอะลี"

       ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวว่า "ฉันร้องไห้ เนื่องจากความปีติยินดี และได้สดุดีขอบพระคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าเนื่องจากเนีียะอ์มัต (ความดีงามที่พระองค์ทรงประทานให้) นี้"

       หนึ่งในวันที่หนักหน่วงที่สุดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) : ท่านอิมามซัจญาด (อ.) กล่าวว่า

ما مِنْ يَوْمٍ اَشَدُّ عَلي رَسولِ اللهِ صَلّي اللهِ عَلَيه وَ آلهِ وَ سَلَّمْ مِنْ يَوْمٍ اُحُدٍ قُتِلَ فيهِ عَمُّهُ حَمْزَةٍ بْنِ عَبدالمطلَبٍ

"ไม่มีวันใดที่หนักหน่วงที่สุดต่อท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) มากกว่าวัน (แห่งสงคราม) อุฮุด ในวันนั้นฮัมซะฮ์ บินอับดุลมุฏฏอลิบ ลุงของท่านได้ถูกสังหาร..."

(อัลอะมาลี, เชคซุดูก, หน้าที่ 374)

ฉายานามของท่านฮัมซะฮ์

     ท่านฮัมซะฮ์ มีฉายานามที่เป็นที่รู้จักกันว่า อะซะดุลลอฮ์ และอะซะดุเราะซูลิฮ์ หมายความว่า ราชสีห์แห่งอัลลอฮ์และราชสีห์แห่งศาสนทูตแห่งพระองค์ แสดงให้เห็นถึง ความกล้าหาญของท่านฮัมซะฮ์

ความปิติยินดีของศัตรูอิสลาม ในการเป็นชะฮีดของท่านฮัมซะฮ์

     เมื่อท่านฮัมซะฮ์เป็น ชะฮีด  (หมายถึง พลีชีพในหนทางแห่งศาสนาอิสลาม)ดังนั้น การเป็นชะฮีดของท่านฮัมซะฮ์ สร้างความปลื้มปิติยินดีต่อศัตรูของอิสลามเป็นอย่างมาก เพราะว่าท่านฮัมซะฮ์ คือ ผู้หนึ่งที่ศัตรูหวาดกลัว และไม่กล้าต่อกรกับท่าน รวมถึงนางฮินด์ ภรรยาของอะบูซุฟยาน ซึ่งมีความเกลียดชังต่อท่าน นางคือ ผู้ขวักตับของท่านฮัมซะฮ์เอามากินด้วยกับความเคียดแค้น และนางคือ ผู้ที่กินตับของชายที่มีนามว่า ซัยยิดุชชุฮะดาอ์

     ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อลฯ) คือ ผู้ที่ตั้งฉายานามของท่านฮัมซะฮ์ ว่า ซัยยิดุชชุฮะดาอ์ หมายความว่า ท่านนั้นคือ หัวหน้าของบรรดาชุฮะดาอ์ และเมื่อบรรดามุสลิมจะทำการระลึกถึงท่านฮัมซะฮ์ จะกล่าวกันว่า ท่านนั้นคือ ซัยยิดุชชุฮะดาอ์ ซึ่งในสมัยของท่านอิมาม ญะอ์ฟัร อัศศอดิก (อ.) ได้มีคนถามท่านอิมามว่า ทำไมท่านฮัมซะฮ์ ถึงมีฉายานามว่า ซัยยิดุชชุฮะดาอ์ ขณะที่อิมามฮุเซนก็มีฉายานามว่า ซัยยิดุชชุฮะดาอ์ เหมือนกัน

     ท่านอิมามตอบว่า ท่านฮัมซะฮ์ คือ ซัยยิดุชชุฮะดาอ์แห่งมนุษยชาติทุกคน นอกจากบรรดามะอ์ศูม แต่อิมามฮุเซน คือ ซัยยิดุชชุฮะดาอ์ในทุกกาลสมัย

การเยี่ยมเยียนยังฮะรอม (หลุมฝังศพ) ของท่านฮัมซะฮ์

การเยี่ยมเยียนยังฮะรอม (หลุมฝังศพ) ของท่านฮัมซะฮ์

     การไปเยี่ยมเยียนยังสถานที่ฝังศพของบรรดาชุฮะดาอ์ (ผู้ที่เสียสละชีวิตตนเองในแนวทางแห่งอัลลอฮ์) หรือ การซิยาเราะฮ์ เป็นการรำลึกถึงวีรกรรมของพวกเขาเหล่านั้น และเป็นคำสั่งสอนของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ให้แสดงออกถึงการมีความเคารพต่อเกียรติยศในการเสียสละของพวกเขา หากว่าในวันนั้นไม่มีพวกเขาที่คอยปกป้องด้วยกับชีวิต ในวันนี้เราก็จะไม่มีวันที่จะรู้จักอิสลามอันแท้จริงได้อย่างแน่นอน

      หลังจากสงครามอุฮัดได้สิ้นสุดลง ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) คือ บุคคลแรกที่เดินทางจากเมืองมะดีนะฮ์สู่สถานฝังศพหรือฮะรอมของท่านฮัมซะฮ์ และตลอดอายุขัยของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มักจะไปเยี่ยมเยียนยังสุสานท่านลุงของท่านเสมอ และท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ยังกล่าวไว้อีกว่า ผู้ใดก็ตามที่เขามาเยี่ยมเยียนฉัน และไม่ไปเยี่ยมเยียนลุงของฉัน (ฮัมซะฮ์) เท่ากับเขานั้น ไม่ให้เกียรติต่อฉัน

       รายงานจากท่านอิมามอัซซอดิก(อ.) กล่าวว่า หลังจากศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) วะฟาต (เสียชีวิต) ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) จะไปเยี่ยมเยียนยังสุสานของบรรดาชุฮะดาอ์ ณ อุฮุด เพื่อทำการนมาซและขอดุอาที่นั้น อาทิตย์ละสองครั้ง อีกทั้งท่านหญิงยังนำเอาดินที่นั้นมาทำเป็นตัสบีฮ์ เพื่อใช้ในการรำลึกถึงเอกองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ)


ที่มา : alhassanain.org และ เพจมัสยิด ซอฮิบุซซะมาน

ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม