ส่วนหนึ่งจากข้อกล่าวหาและการให้ร้ายต่างๆ ที่สำคัญซึ่งในช่วงหลายปีมานี้ได้ถูกพลาดพิงยังท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) โดยเหล่าศัตรู นั่นก็คือการที่พวกเขาพยายามนำเสนอว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) เป็นศาสดาที่นิยมความรุนแรงและการหลั่งเลือด
คนบางกลุ่มเป็นมุสลิมแต่รูปภายนอก ซึ่งมีแต่เพียงชื่อเท่านั้นที่เป็นอิสลาม แต่ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากคำสอนอันสูงส่งที่ให้ชีวิตและจิตวิญญาณของมันเลย พวกเขาได้แนะนำอิสลามและศาสดาของอิสลามให้โลกรู้จักในฐานะศาสนาแห่งความรุนแรงด้วยการกระทำและพฤติกรรมต่างๆ ที่เลวร้ายของตน ในขณะที่คัมภีร์อัลกุรอานได้ยกย่องสรรเสริญท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ด้วยคุณลักษณะที่งดงามว่า «خلق عظیم» (ผู้มีจริยธรรมอันยิ่งใหญ่) ดังที่ในซูเราะฮ์อัลอาลัมได้กล่าวว่า :
وَ اِنَّكَ لَعَلي خُلُقٍ عَظيمٍ
“และแท้จริงเจ้าคือผู้ตั้งมั่นอยู่บนจริยธรรมที่ยิ่งใหญ่” (อัลกอัลกอลัม โองการที่ 4)
บรรดาวะฮ์ฮาบีและกลุ่มตักฟีรีย์ ซึ่งโดยอาศัยชื่ออิสลามนั้นพวกเขาจะเข่นฆ่าทุกคนโดยไม่แยกแยะว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม และผู้แพร่ขยายวัฒนธรรมของความรุนแรงในโลกก็คือบุคคลเหล่านี้
หากใครก็ตามที่ถือว่าสงครามต่างๆ ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เป็นเครื่องแสดงถึงการนิยมความรุนแรงของท่านแล้ว จำเป็นต้องกล่าวว่า เขาผู้นั้นได้ตัดสินโดยห่างไกลจากความเป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะเนื่องจากว่าสงครามโดยส่วนใหญ่ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นั้นเป็นสงครามเพื่อการปกป้องตนและเป็นสงครามที่เกิดขึ้นโดยถูกบังคับ
สิบสามปีที่ท่านศาสดาและชาวมุสลิมได้พำนักอยู่ในนครมักกะฮ์ พวกเขาได้ถูกกลั่นแกล้ง ถูกทำร้ายและถูกทารุณกรรมอย่างรุนแรงโดยชาวมุชริกีน (ผู้ตั้งภาคี) แต่ในช่วงเวลาเหล่านี้พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ได้อนุญาตให้ชาวมุสลิมทำสงครามและทำการปกป้องตนเอง ชาวมุสลิมที่เหนื่อยหน่ายจากการข่มเหงรังแกและการทารุณของชาวมุชริกีน (ผู้ตั้งภาคี) ได้ไปพบท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และร้องทุกข์ต่อท่านเพื่อขออนุญาตทำการญิฮาด (ต่อสู้) แต่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ผู้ซึ่งทุกการกระทำและพฤติกรรมของท่านวางรากฐานอยู่บนวะฮ์ยู (วิวรณ์) ของพระผู้เป็นเจ้า ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า : พวกท่านจงอดทนไปก่อน ขณะนี้บัญชาให้ทำการญิฮาด (ต่อสู้) จากพระผู้ป็นเจ้ายังไม่ได้ถูกประทานลงมายังฉัน จนกระทั่งการข่มเหงรังแกและการทำร้ายต่างๆ ของชาวมุชริกีน (ผู้ตั้งภาคี) ได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้ชาวมุสลิมจำเป็นต้องอพยพ (ฮิจญ์เราะฮ์) ไปยังนครมะดีนะฮ์ และในนครมะดีนะฮ์นั่นเองที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานโองการแรกเกี่ยวกับการต่อสู้ (ญิฮาด) ลงมายังท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และชาวมุสลิมจึงได้รับอนุญาตให้ทำการปกป้องตนเองจากการโจมตีต่างๆ ของของศัตรูได้ โดยที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสว่า :
أُذِنَ لِلَّذِینَ یُقَاتَلُونَ بِأَنَّهُمْ ظُلِمُواوَإِنَّ اللَّـهَ عَلَی نَصْرِهِمْ لَقَدِیرٌ
“ได้ถูกอนุมัติแก่บรรดาผู้ที่ถูกบังคับให้ทำการต่อสู้ เนื่องจากพวกเขาถูกกดขี่ และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพยิ่งในการช่วยเหลือพวกเขา”
(อัลกถรอานบทอัลฮัจญ์ โองการที่ 39)
การพิจารณาดูวิถีชีวิตและการกระทำต่างๆ ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ชี้ให้เห็นว่า ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เองนั้นได้ห้ามความรุนแรงและการเข่นฆ่าสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ และตัวท่านเองก็เป็นผู้ส่งเสริมความเมตตาและความเอื้ออาทรในหมู่ชาวมุสลิมอย่างแท้จริง การพิชิตนครมักกะฮ์นั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงจุดสูงสุดของความเมตตาและความเอื้ออาทรของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ)
ในวันที่สิบของเดือนรอมฎอน ปีฮิจญ์เราะฮ์ศักราชที่ 8 ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) พร้อมด้วยชาวมุสลิมจากนครมะดีนะฮ์จำนวนนับหมื่นคนได้เดินทางสู่นครมักกะฮ์ และได้ปิดล้อมนครมักกะฮ์ด้วยแผนการที่ชาญฉลาดและได้ทำให้เหล่าศัตรูยอมจำนนโดยปราศจากการหลั่งเลือด ในช่วงเวลานี้ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีอำนาจอย่างเต็มที่และสามารถที่จะทำการแก้แค้นการข่มเหงรังแก ความอธรรมและอาชญากรรมต่างๆ ทั้งหมดของบรรดาชาวมุชริกีน (ผู้ตั้งภาคี) แห่งมักกะฮ์ ที่เคยกระทำไว้กับชาวมุสลิมได้ แต่เราจะเห็นได้ว่าการพิชิตนครมักกะฮ์นั้นได้เกิดขึ้นโดยปราศจากการนองเลือดและเต็มเปี่ยมไปด้วยสันติภาพและความเมตตาอย่างแท้จริง
หลังจากที่ท่านศาสดาได้มาถึงนครมักกะฮ์และในช่วงเวลาที่ท่านปรากฏตัวอยู่เคียงข้างบ้านของพระเจ้า (บัยตุลลอฮ์) นั้น บรรดาชาวมุชริกีน (ผู้ตั้งภาคี) ต่างๆ อยู่ในสภาพของความหวั่นกลัว และต่างพากันคิดและจินตนาการกันไปต่างๆ ที่นานาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ในช่วงเวลาดังกล่าวประชาชนชาวมักกะฮ์ต่างนึกถึงการกดขี่และความอธรรมต่างๆ ทั้งมวลของตนที่เคยกระทำไว้กับท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และชาวมุสลิมและเชื่อว่าตนเองจะต้องถูกแก้แค้นเอาคืน
กลุ่มชนที่เคยทำสงครามกับท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) หลายต่อหลายครั้ง และได้เข่นฆ่าบรรดาเยาวชนและบรรดาสาวกผู้ช่วยเหลือของท่าน และกระทั่งว่าได้ตัดสินใจบุกไปยังบ้านของท่านในยามค่ำคืนเพื่อที่จะลอบสังหารท่านนั้น มาบัดนี้พวกเขาได้ตกอยู่ในกำมือและอำนาจของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) แล้ว และท่านศาสดาก็สามารถที่จะทำการแก้แค้นพวกเขาได้ทุกรูปแบบ พวกเขาต่างพูดต่อกันและกันว่า : มุฮัมมัดคงจะทำการแก้แค้นพวกเราเป็นแน่ หรือไม่ก็จะฆ่ากลุ่มหนึ่งจากพวกเรา และจะจับกุมกลุ่มหนึ่งจากเรา และจับผู้หญิงและลูกๆ ของเราเป็นเชลย
ทันใดนั้นท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ทำลายความเงียบของพวกเขาด้วยประโยคเหล่านี้ โดยกล่าวว่า :
ماذا تقولون؟! و ماذا تظنّون؟!
“พวกท่านจะพูดอะไร? และพวกท่านคิดอะไร (เกี่ยวกับตัวฉัน)?!!”
พวกเขาทั้งหมดต่างพากันกล่าวว่า : "เราไม่คิดสิ่งใดเกี่ยวกับท่านนอกจากความดีงาม และเราถือว่าท่านคือพี่น้องผู้มีเกียรติของเราและเป็นลูกของพี่น้องผู้มีเกียรติของเรา”
ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้กล่าวว่า :
فَإِنِّي أَقُولُ كَمَا قَالَ أَخِي يُوسُفُ لا تَثْرِيبَ عَلَيْكُمُ الْيَوْمَ يَغْفِرُ اللَّهُ لَكُمْ وَهُوَ أَرْحَمُ الرَّاحِمِينَ
“ฉันจะพูดเช่นเดียวกับยูซุฟพี่ชายของฉันได้พูด (กับพี่ๆ ของตน) ว่า : วันนี้ไม่มีการตำหนิประณามใดๆ ต่อพวกท่าน อัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษพวกท่าน และพระองค์ทรงเมตตายิ่งในบรรดาผู้เมตตาทั้งหลาย”
(อัลถุรอานบทยูซุฟ โองการที่ 92)
แม้แต่ซะอัด บินอุบาดะฮ์ หนึ่งในผู้บัญชาการกองทัพอิสลาม ซึ่งในขณะเข้าสู่นครมักกะฮ์ เขาได้กล่าวคำขวัญว่า :
الْيَوْمَ يَوْمُ الْمَلْحَمَةِ الْيَوْمَ مُسْتَحِلّ الْحُرْمَةُ
“วันนี้เป็นวันของการต่อสู้ วันนี้ชีวิตและทรัพย์สินของพวกเจ้าเป็นที่อนุมัติ?"
ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพและได้มอบธงให้ลูกชายของเขา และได้สั่งให้กล่าวคำขวัญนี้แทนว่า :
الْيَوْمَ يَوْمُ الْمَرْحَمَةِ
"วันนี้เป็นวันแห่งความเมตตา (วันแห่งการให้อภัย)" และจากนั้นท่านได้ออกคำสั่งนิรโทษกรรมทั้งหมด [2]
บทสรุป
ตรรกะของอิสลามในการทำสงครามและในขณะได้รับชัยชนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีต่อชาวมุสลิมกลุ่มอื่นๆ นั้นก็คือสิ่งเดียวกันกับที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้ปฏิบัติในการพิชิตนครมักกะฮ์ ด้วยเหตุนี้ท่านต้องการที่จะบอกและสอนแก่เราว่า อย่าว่าแต่มุสลิมคนหนึ่งเลย แม้แต่กับบรรดาผู้ตั้งภาคี (มุชริกีน) ที่ออกมาเพื่อทำสงครามกับอิสลาม แต่เมื่ออำนาจของพวกเขาถูกทำลายลงและพวกเขาไม่ต้องการที่จะทำสงครามอีกแล้วนั้น พวกท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะยิงกราดและสังหารหมู่พวกเขา
ในตอนท้ายนี้ ด้วยการพิจารณาโดยสังเขปถึงแบบฉบับและการปฏิบัติของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ทำให้เกิดคำถามพื้นฐานขึ้นในความนึกคิดของเราทุกคนว่า กลุ่มตักฟีรีย์ชาววะฮ์ฮาบี อย่างเช่นกลุ่มดาอิช (ISIS) ได้ยึดเอาแบฉบับและคำสั่งใดมาจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จึงทำให้พวกเขาถือว่าชาวมุสลิมกลุ่มอื่นจากตนนั้นเป็นกาฟิร (ผู้ปฏิเสธอิสลาม) และประกาศว่าเลือดของพวกเขาเป็นที่อนุมัติ (มุบาห์) และหลังจากที่พวกเขาได้บุกเข้าไปยังทุกเมืองแล้ว พวกเขาจะเข่นฆ่าสังหารบรรดาผู้ชายและจับบรรดาสตรีของพวกเขาเป็นเชลยและประมูลขายในตลาด?
เชิงอรรถ :
บทความโดย เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
เรียบเรียง : ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม
In the name of Allah I بِسْــــــــــــــــــمِ اﷲِالرَّحْمَنِ اارَّحِيم
Assalamualaikum I اَلسَّلَامُ عَلَيْكُم
ขอความสันติ จงมีแด่ท่าน I Peace Be Upon You
WELCOME TO IICTH.COM I ยินดีต้อนรับ สู่เว็บไซต์
ศูนย์สารสนเทศอิสลาม I Islamic Information Center