ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) เป็นชนเผ่ากุเรชมาจากตระกูลบนีฮาชิม บิดาของท่านชื่อว่า อับดุลลอฮ์ เป็นบุตรของท่านอับดุลมุฏ็อลลิบ ซึ่งเป็นหลานของฮาชิม มารดาของท่านชื่อว่า ท่านหญิงอามีนะฮ์ คอตูน เป็นบุตรีของวะฮับ ซึ่งมาจากตระกูล บนี ซุฮ์เราะฮ์เป็นชนเผ่ากุเรชเช่นกัน
ท่านอับดุลลอฮ์ หลังจากแต่งงานแล้วได้เดินทางไปเมืองชาม (ซูเรีย) แต่หลังจากเดินทางกลับจากเมืองชาม ท่านได้ไปสิ้นชีวิตที่เมืองมะดีนะฮ์และฝังอยู่ที่นั่น
หลังจากท่านอับดุลลอฮ์ได้สิ้นชีวิตประมาณสองสามเดือน ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาที่เมื่องมักกะฮ์ ในเดือนเราะบีอุลเอาวัล ปี ค.ศ.571 ซึ่งการกำเนิดของท่านได้สร้างความสว่างไสวให้กับโลกอย่างยิ่ง หลังจากที่ท่านได้ถือกำเนิดขึ้นมาท่านหญิงอามินะฮ์มารดาของท่าน ได้มอบท่านให้กับท่านหญิงฮะลีมะฮ์ ซะอ์ดียะฮ์ ซึ่งเป็นชนเผ่าซะอ์ด์ตามประเพณีนิยมของชนอาหรับในสมัยนั้น เพื่อให้ท่านหญิงให้นมแก่ท่านศาสดา ท่านได้ดื่มนมฮะลีมะฮ์อยู่นานถึงสี่ปี หลังจากนั้นท่านหญิงอามินะฮ์ได้มารับตัวท่านเพื่อเดินทางไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ฝ่ายบิดาที่เมืองมะดีนะฮ์ ซึ่งระหว่างเดินทางกลับมารดาของท่านได้สิ้นชีวิตลง และได้ฝังร่างอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อว่า “อับวาอ์” เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางมักกะฮ์กับมะดีนะฮ์
หลังจากนั้นท่านได้อยู่ในการดูแลของปู่คือ ท่านอับดุลมุฏ็อลลิบ และท่านอบูฏอลิบบิดาของท่านอิมามอะลี (อ.) ผู้เป็นลุง ในเวลาต่อมา เมื่ออายุได้ยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ ท่านได้สมรสกับท่านหญิงคอดิญะฮ์ซึ่งขณะนั้นมีอายุสี่สิบปี ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับท่านหญิงนานถึงยี่สิบห้าปี และท่านหญิงได้เสียชีวิตลงเมื่ออายุครบหกสิบห้าปี
เมื่อท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) มีอายุได้สี่สิบปี อัลลอฮ์ (ซบ.) ได้เลือกให้ท่านเป็นศาสนทูตของพระองค์ พร้อมทั้งประทานอัลกุรอานคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งมนุษย์และญินไร้ความสามารถในการนำมาซึ่งสิ่งที่คล้ายหรือเหมือนได้ พระองค์ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นศาสดาองค์สุดท้ายและเป็นผู้มีมารยาทสมบูรณ์ที่สุด
การกล่าวอ้างและยืนยันการเป็นศาสดาไม่ได้เป็นที่ปิดบังสำหรับใครคนใดคนหนึ่งทีว่าประมาณปี ค.ศ. 611 ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ประกาศการเป็นศาสดาของท่าน ณ เมืองมักกะฮ์ ขณะที่โลกส่วนใหญ่ได้เคารพบูชารูปปั้น เจว็ดต่าง ๆ บูชาไฟ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ อีกมากมาย ท่านศาสดาได้ประกาศเชิญชวนประชาชนมาสู่ศาสนาอิสาลาม จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตอันจำเริญ ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากได้ยอมรับคำประกาศและเข้าสู่อิสลาม
ก่อนการมาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) บรรดานักวิชาการชาวคริสต์ไม่มีความขัดแย้งกับคำที่ว่า “Parakletos” นั้น หมายถึง “อะห์มัด” และ “มุฮัมมัด” แต่หลังจากการถือกำเนิดของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) เพื่อที่จะรักษาความเป็นผู้นำและผลประโยชน์ทางวัตถุของตนเองให้คงอยู่ต่อไปนั้น พวกเขาได้ตีความและบิดเบือนความหมายของมันเป็นอย่างอื่น และแน่นอนยิ่งว่าความหมายใหม่ที่พวกเขาอุตริขึ้นมานั้นไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของเจ้าของคัมภีร์อิลญีล (ไบเบิล)
วันที่ 27 เดือนร่อญับ ปีที่ 40 หลังจาก “อามุ้ลฟีล” (ปีช้าง) กล่าวคือ 13 ปีก่อนการอพยพ (ฮิจเราะฮ์) เป็นวันแห่งการย้ำเตือนความทรงจำถึงปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอิสลาม นั่นคือ การที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงแต่งตั้งท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ให้เป็นศาสนทูตท่านสุดท้าย ก่อนหน้านั้นบรรดาศาสนาแห่งพระเจ้าก็ได้แจ้งข่าวดีเกี่ยวกับการเป็นศาสดาของมหาบุรุษท่านนี้ไว้เช่นกัน ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้มีคำถามมากมายถูกหยิบยกขึ้นมา อย่างเช่น นักอรรถาธิบายคัมภีร์บางคนเข้าใจผิดโดยเปลี่ยนเอาคำว่า "Parakletos" ซึ่งในภาษากรีกมีความหมายว่า “ผู้สนับสนุน” และ “ผู้ช่วยเหลือ” เข้าไปแทนที่คำว่า "Periklutos" ซึ่งในภาษากรีก มีความหมายว่า “ผู้มีชื่อเสียง” และ “ผู้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ” และได้นำเอาคำนี้มาเทียบเคียงกับศาสดาของพวกเขา
สถาบันค้นคว้าวิจัยและตอบปัญหาข้อเคลือบแคลงสงสัยของสถาบันศึกษาศาสนา (เฮาซะฮ์อิลมียะฮ์) แห่งเมืองกุม ได้มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า :
สัญญาและข่าวดีเกี่ยวกับการมาของศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ตามคำกล่าวที่ชัดเจนของคัมภีร์อัลกุรอานนั้นถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์เตาร๊อต (โตราห์) และคัมภีร์อินญีล ((ไบเบิล) และการยอมรับคัมภีร์อัลกุรอานจะก่อให้เกิดความมั่นใจแก่มนุษย์ว่า ชื่อของท่านศาสดาแห่งอิสลามและการแจ้งข่าวดีเกี่ยวกับการเป็นศาสดา (นุบูวะฮ์) ของท่าน มีปรากฏอยู่อย่างมากมายและชัดเจนในคัมภีร์เตาร๊อด (โตราห์) และคัมภีร์อินญีล (ไบเบิล) ฉบับดั้งเดิม ด้วยผลของการบิดเบือนที่เกิดขึ้นกับคัมภีร์ทังสองนี้ ได้ทำให้กรณีต่างๆ เหล่านี้ถูกลบเลือนออกไป
โดยรวมแล้วนักวิชาการชาวยิวและชาวคริสเตียนส่วนใหญ่และนักวิชาการมุสลิมทั้งหมดเชื่อว่า คัมภีร์ “เตาร๊อต” (โตราห์) นั้นถูกบิดเบือนไปแล้ว และคัมภีร์โตราห์ในปัจจุบันนี้ถูกเขียนขึ้นหลังจากการพิชิตอาณาจักรบาบิโลนในยุคของบรรดาปุโรหิต (หมายถึง 500 ปีก่อนคริสตกาลและหลายศตวรรษหลังจากการเสียชีวิตของของศาสดามูซา (อ.) หรือ โมเสส) และคัมภีร์อัลกุรอานเองก็ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า :
مِّنَ الَّذِينَ هَادُوا يُحَرِّفُونَ الْكَلِمَ عَن مَّوَاضِعِهِ
"บางคนในหมู่ชาวยิวได้บิดเบือนบรรดาถ้อยคำให้หันเหออกจากตำแหน่งของมัน"
(อัลกุรอานบทอันนิซาอ์ โองการที่ 46)
และกล่าวว่า :
فَوَيْلٌ لِّلَّذِينَ يَكْتُبُونَ الْكِتَابَ بِأَيْدِيهِمْ ثُمَّ يَقُولُونَ هَٰذَا مِنْ عِندِ اللَّهِ لِيَشْتَرُوا بِهِ ثَمَنًا قَلِيلًا
"ดังนั้นความวิบัติจงประสบกับบรรดาผู้ที่เขียนคัมภีร์ขึ้นด้วยมือของตนเอง แล้วกล่าวว่าสิ่งนี้มาจากอัลลอฮ์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย"
(อัลกุรอานบทอัลบากอเราะฮ์ โองการที่ 79)
เกี่ยวกับคัมภีร์อินญีล (ไบเบิล) ก็เช่นกัน ชาวมุสลิมเชื่อว่าคัมภีร์อินญีล (ไบเบิล) ที่ถูกประทานลงมาให้แก่ทานศาสดาอีซา (อ.) หรือพระเยซูนั้นถูกทำลายไปแล้ว และชาวคริสต์เองก็เชื่อว่าไม่มีคัมภีร์ใดถูกประทานลงมาให้แก่ท่านศาสดาอีซา (อ.) ทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจากตัวท่านศาสดาอีซา (อ.) หรือพระเยซูนั้นคือ วะห์ยู (วิวรณ์) ที่เป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว และเป็น “กะลีมะตุลลอฮ์” (พระคำแห่งพระเจ้า) และพันธสัญญาใหม่ทั้งสี่ที่มีอยู่นั้นได้รับการคัดเลือกมาจากหมู่คัมภีร์ไบเบิลเกือบ 100 ฉบับ ที่ถูกเขียนโดยสาวก (หะวารียูน) และสานุศิษย์ของพระเยซู
เมื่อพิจารณาจากบทนำข้างต้นที่ชี้ให้เห็นถึงการถูกบิดเบือนของคัมภีร์เตาร๊อต (โตราห์) และการถูกทำลายของคัมภีร์อินญีล (ไบเบิล) และการยอมรับของบรรดานักวิชาการและนักค้นคว้าวิจัยชาวยิวและชาวคริสต์ ดังนั้นจึงไม่อาจที่จะคาดหวังได้ว่า ชื่อของท่านศาสดาของอิสลาม (ซ็อลฯ) จะมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์โตราห์และไบเบิลในปัจจุบันอย่างชัดเจน ดังนั้นการที่คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวว่า :
وَإِذْ قالَ عیسَی ابْنُ مَرْیَمَ یا بَنی إِسْرائیلَ إِنِّی رَسُولُ اللَّهِ إِلَیْکُمْ مُصَدِّقاً لِما بَیْنَ یَدَیَّ مِنَ التَّوْراةِ وَ مُبَشِّراً بِرَسُولٍ یَأْتی مِنْ بَعْدِی اسْمُهُ أَحْمَدُ فَلَمَّا جاءَهُمْ بِالْبَیِّناتِ قالُوا هذا سِحْرٌ مُبین
“และจงรำลึก เมื่ออีซาบุตรของมัรยัม ได้กล่าวว่า โอ้วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย แท้จริงฉันคือศาสนทูตของอัลลอฮ์ที่มายังพวกท่าน เพื่อเป็นผู้ยืนยันสิ่งที่มีอยู่ใน (คัมภีร์) เตาร๊อต ที่มาก่อนหน้าฉัน และเป็นผู้แจ้งข่าวดีถึงศาสนทูตคนหนึ่งที่จะมาภายหลังฉัน ชื่อของเขาคือ อะห์มัด ครั้นเมื่อเขา (อะห์มัด) ได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้งแล้ว พวกเขาก็กล่าวว่านี่คือมายากลอันชัดแจ้ง”
(อัลกุรอานบทอัศศ็อฟฟุ โองการที่ 6)
จึงไม่มีสำนวนประโยคที่อ้างอิงปรากฏอยู่ในคัมภีร์อินญีล (พระวรสาร) ของนักบุญยอห์น (โยฮันนา) แต่ทว่าคัมภีร์อัลกุรอานได้อ้างคำพูดโดยตรงจากการแจ้งข่าวดีของศาสดาอีซา (อ.) หรือพระเยซู ที่ท่านได้ให้ไว้แก่วงศ์วานของอิสราเอล คัมภีร์อัลกุรอานเองไม่เคยบอกว่าประโยคคำพูดเหล่านี้ของศาสดาอีซา (อ.) มีปรากฏอยู่ในพระวรสารต่างๆ หรือในพระวรสารของนักบุญจอห์น ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับศาสดาอีซา (อ.) เลย
แต่กระนั้นก็ตามไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลยว่า ส่วนหนึ่งของคำสอนของท่านศาสดาอีซา (อ.) และเนื้อหาของคัมภีร์อันบริสุทธิ์ของท่านจะถูกอ้างไว้ในพระวรสารเหล่านี้จากคำพูดของบรรดาสาวกของท่าน ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่สามารถยอมรับเนื้อหาทั้งหมดที่มีอยู่ในพระวรสารเหล่านี้ได้ และก็ไม่สามารถปฏิเสธเนื้อหาทั้งหมดของมันได้ ทว่ามันคือสิ่งที่ผสมปนเประหว่างคำสอนของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้กับทัศนะและความคิดของบุคคลอื่นๆ
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ในพระวรสารนักบุญจอห์นไม่มีสำนวนประโยคที่มีความสอดคล้องตรงกับกับศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ผู้เป็นศาสดาแห่งยุคสุดท้าย (อาคิรุซซะมาน) และด้วยเหตุนี้เองในพระวรสารต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงพบเห็นสำนวนประโยคมากมายที่แจ้งข่าวดีถึงการมาของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่สัญลักษณ์บ่งชี้ต่างๆ ของมันไม่อาจเทียบเคียงกับสิ่งใดได้นอกจากอิสลามและศาสดาของอิสลาม
หนึ่งในกรณีเหล่านี้ ก็คือคำว่า "Parakletos" ภาษาซิรยานี (Syriac) ที่มีปรากฏอยู่ในพระวรสารนักบุญจอห์น คำนี้ในภาษาอาหรับออกเสียงว่า " فارقلیط" (ฟารักลีฏ) และในภาษากรีกเขียนว่า "Periklutos" ในที่นี้ไม่มีใครปฏิเสธหรือคลางแคลงสงสัยได้ว่า ท่านศาสดาอีซา (อ.) ได้แจ้งข่าวดีถึงบุคคลผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่า "Parakletos” หรือ “Periklutos” ที่จะมาหลังจากตนไว้ ตามคำอ้างของคัมภีร์ไบเบิล (พระวรสารนักบุญยอห์น) ท่านศาสดาอีซา (อ.) ได้แจ้งข่าวการมาของบุคคลผู้หนึ่งหลังจากตน โดยที่บทบัญญัติของเขาผู้นั้นจะเป็นนิรันดร์ และการปกครองของเขาจะดำรงอยู่ตลอดไป
เราจะยกตัวอย่างบางส่วนของประโยคเหล่านี้ไว้ ณ ที่นี้ :
- 16:12 เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้
- 16:13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น
- 14:16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ปลอบประโลมใจ (Comforter, Gr. Parakletos) อีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป
- 15:26 แต่เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา
- 16:7 อย่างไรก็ตามเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
- 16:8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้สึกถึงความผิดบาป และถึงความชอบธรรม และถึงการพิพากษา
- 16:13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น
- 16:15 ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้นมาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย
ดังที่ได้ชี้ให้เห็นไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า “Parakletos” ในภาษาซิรยานี (Syriac) นั้นหมายถึง “ผู้ที่ได้รับการสรรเสริญอย่างมาก” ซึ่งอ่านออกเสียงในภาษาอาหรับว่า " فارقلیط" (ฟารักลีฏ) และความหมายของมันตรงกับภาษาอาหรับว่า “อะห์มัด” (احمد) ซึ่งคัมภีร์อัลกุรอานได้ชี้ถึงมัน และคัมภีร์อิลญีล (ไบเบิล) ดั้งเดิมนั้นเป็นภาษาซิรยานี (Syriac) และต่อมาถูกแปลเป็นภาษากรีก และคำนี้จึงถูกแปลเป็น “Periklutos” หรือ “Parakletos” สำนวนประโยคเหล่านี้ของพระวรสารไม่อาจเทียบเคียงเป็นผู้อื่นได้ นอกจากศาสดาของอิสลาม
“ฟัครุ้ลอิสลาม” เจ้าของหนังสือ “อะนีซซุลอะอ์ลาม” ซึ่งเป็นหนึ่งในบาทหลวงผู้มีชื่อเสียงของคริสตจักร สำเร็จการศึกษามาจากบรรดาบาทหลวงชาวคริสต์ และได้รับตำแหน่งสูง ณ บุคคลเหล่านั้น ในบทนำของหนังสือนี้เขาได้อธิบายถึงเรื่องราวที่น่าประทับใจเกี่ยวกับการเข้ารับอิสลามของตนเองไว้เช่นนี้ว่า :
“หลังจากการค้นหาอย่างมากมายด้วยความเหนื่อยยากเป็นพิเศษ และการเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ผมก็ได้ไปพบบาทหลวงผู้มีสถานะสูงส่งท่านหนึ่ง ซึ่งในด้านของความสมถะและความสำรวมตนนั้นมีความยอดเยี่ยมยิ่งนัก ผมใช้เวลาในการศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับมัซฮับ (นิกาย) ต่างๆ ของคริสเตียนกับท่านเป็นระยะเวลาหนึ่ง ท่านมีลูกศิษย์มากมาย แต่ท่ามกลางทั้งหมดเหล่านั้น ท่านจะมีความรักผูกพันเป็นพิเศษกับผม กุญแจบ้านทั้งหมดท่านมอบไว้ที่ผม ยกเว้นกุญแจตู้ของบ้านดอกหนึ่งที่ท่านจะเก็บไว้กับตัวเอง
วันหนึ่งบาทหลวงท่านนี้มีความผิดปกติได้เกิดขึ้นกับท่าน ท่านได้กล่าวกับผมให้บอกกับสานุศิษย์ทั้งหลายว่า “ฉันไม่มีอารมณ์ที่จะทำการสอน” เมื่อผมกลับมาจากบรรดาสานุศิษย์ ผมเห็นท่านกำลังหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าคำว่า “Parakletos” ในภาษาซิรยานี (Syriac) และคำว่า “Periklutos” ในภาษากรีก
เมื่อผมหยิบยกประเด็นความขัดแย้งของเนื้อหานี้ต่อบาทหลวง และหลังจากการถามตอบต่างๆ ระหว่างผมกับบาทหลวง ท่านกล่าวว่า “ความจริงและความถูกต้องนั้น ตรงข้ามกับทัศนะทั้งหมดเหล่านี้ เนื่องจากไม่มีใครรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ได้นอกจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ (รอซิคูน) ในความรู้เพียงเท่านั้น และน้อยคนที่จะรับรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว”
ผมได้รบเร้าท่านให้อธิบายความหมายของมันแก่ผม ท่านได้ร้องไห้อย่างหนักและกล่าวว่า “ฉันจะไม่ปิดบังอำพรางสิ่งใดต่อเจ้าในการรับรู้ความหมายของคำนามนั้น ซึ่งมีผลที่สำคัญอย่างมาก แต่จะรับรู้ได้เพียงฉันและเจ้าเท่านั้น หากเจ้าสัญญาว่าจะไม่บอกใคร ฉันจะเปิดเผยความหมายนี้แก่เจ้า” ฉันได้สาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (มุก็อดดะซาต) ทั้งหลายแล้วว่า จะไม่เปิดเผยชื่อของบุคคลผู้นี้ ต่อจากนั้นท่านกล่าวว่า “นี่คือชื่อหนึ่งจากบรรดาชื่อของศาสดาของชาวมุสลิม และมีความหมายว่า “อะห์มัด” และ “มุฮัมมัด”
ต่อจากนั้นท่านได้ยื่นกุญแจห้องเล็กดังกล่าวแก่ผมและบอกว่า “จงเปิดประตูห้องนั้น และจงหยิบหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ แล้วเอามาที่นี่” ผมนำหนังสือสองเล่มมาให้ท่าน หนังสือสองเล่มนี้เป็นภาษากรีกและภาษาซิรยานี (Syriac) ซึ่งถูกเขียนขึ้นบนแผ่นหนังก่อนการมาของศาสดาของอิสลาม
ในหนังสือทั้งสองเล่ม คำว่า "Parakletos" จะให้ความหมายว่า “อะห์มัด” และ “มุฮัมมัด” ต่อจากนั้นอาจารย์ได้กล่าวเสริมว่า “ก่อนการมาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) บรรดานักวิชาการชาวคริสต์ไม่มีความขัดแย้งกันที่ว่า คำว่า “Parakletos” นั้นหมายถึง “อะห์มัด” และ “มุฮัมมัด” แต่หลังจากการถือกำเนิดของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) เพื่อที่จะรักษาความเป็นผู้นำและผลประโยชน์ทางวัตถุของตนเองให้คงอยู่ต่อไปนั้น พวกเขาได้ตีความและบิดเบือนความหมายของมันเป็นอย่างอื่น และแน่นอนยิ่งว่าความหมายใหม่ที่พวกเขาอุตริขึ้นมานั้นไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของเจ้าของคัมภีร์อิลญีล (ไบเบิล)”
ที่มา : farsnews
แปล/เรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม
In the name of Allah I بِسْــــــــــــــــــمِ اﷲِالرَّحْمَنِ اارَّحِيم
Assalamualaikum I اَلسَّلَامُ عَلَيْكُم
ขอความสันติ จงมีแด่ท่าน I Peace Be Upon You
WELCOME TO IICTH.COM I ยินดีต้อนรับ สู่เว็บไซต์
ศูนย์สารสนเทศอิสลาม I Islamic Information Center