หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ แม้จะมีคำเตือนต่างๆ จากพันธมิตรยุโรป (อียู) ดูเหมือนว่าด้วยกับการยกระดับมาตรการต่อต้านอิหร่านครั้งนี้สหรัฐอเมริกาเองจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามของการถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น

       ตามความเชื่อของที่ปรึกษาหลายคน แม้กระทั่งสมาชิกพรรครีพับลิกันและนักวิชาการบางคน หลังจากการถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านของทรัมป์ แม้จะมีคำเตือนต่างๆ จากพันธมิตรยุโรป (อียู) เป็นไปได้ว่าด้วยกับการยกระดับมาตรการต่อต้านอิหร่านครั้งนี้สหรัฐอเมริกาเองจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น นักวิเคราะห์กล่าวว่า การตัดสินใจนี้อาจทำให้อเมริกาประสบปัญหาในการร่วมทางกับพันธมิตรยุโรปในการใช้มาตรการต่อต้านอิหร่านในอนาคต

      การดำเนินการของสหรัฐฯ ยังก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถประเมินได้มากขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งในสภาพแวดล้อมดังกล่าวอิหร่านจะสามารถดำเนินการได้อย่างอิสระมากกว่าในการต่อต้านผลประโยชน์ของสหรัฐฯ หรือเพิ่มอิทธิพลในระดับภูมิภาค

      "มาร์ติน เดมพ์ซี่ย์" อดีตผู้บัญชาการของหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการร่วมของกองทัพสหรัฐฯ เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทวิตเตอร์ของเขาว่า : "ขณะนี้เรากำลังอยู่บนเส้นทางที่อันตรายมากขึ้นและเราจะอยู่ตัวคนเดียวด้วยกับตัวเลือกที่น้อยลง"

      "นิโคลัส เบิร์นส์" อดีตผู้บริหารอาวุโสคนที่สามของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในรัฐบาลจอร์จ ดับเบิ้ลยูบุช กล่าวว่า : "สถานการณ์เช่นนี้จะทำให้สหรัฐฯ อ่อนแอลง...สภาพเงื่อนไขเช่นนี้ในประเด็นของอิหร่าน จะทำให้สหรัฐฯ ออกห่างจากรัสเซียและจีนมากยิ่งขึ้น และจะนำไปสู่ความไม่พอใจของพันธมิตรยุโรป (อียู) สถานการณ์เช่นนี้จะส่งผลกระทบที่ลุ่มลึกมากและจะเป็นผลลบต่อเจตจำนงของกลุ่มประเทศยุโรปที่จะทำงานร่วมกับเรา"

      นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันอีกคนหนึ่งที่ขอสงวนชื่อได้กล่าวว่า : "การลดระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านลงมากเท่าใดนั้น อาจส่งผลกระทบต่างๆ ในเชิงลบในอิรักซึ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดที่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งรัฐสภาใหม่ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้" เขากล่าวอีกว่า : "ในขณะที่ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านเพิ่มมากขึ้นนั้น สถานการณ์นี้จะไม่เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิรัก"

ที่มา : อัล-อาลัม

ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม